ไม่กล้า Stop Loss ต้องดู! จิตวิทยา กลัว Stop Loss

เรื่องPatihanUhas

ไม่กล้า Stop Loss

ไม่กล้า Stop Loss ต้องดู! จิตวิทยา สำหรับคนที่ กลัว Stop Loss ภาวะ Loss Aversion หรือ ความรู้สึกสูญเสียที่มีมากกว่าได้รับ คนเราให้ค่าความทุกข์มากกว่าความสุข

 

Loss Aversion จัดว่าเป็นความกลัวอย่างหนึ่ง มันเป็นพฤติกรรมของมนุษย์ที่มีมาเนินนานตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ในการหลีกเลี่ยงการสูญเสียมากกว่า พยายามเสี่ยงที่จะได้อะไรมา

 

ไม่กล้า Stop Loss ต้องดู! จิตวิทยา สำหรับคนที่ กลัว Stop Loss

 

 

ผลวิจัยเผยว่า การสูญเสียทรงพลังกว่าการได้รับถึง 2 เท่า จึงทำให้คนเรามองโลกในแง่ร้ายไว้ก่อน และทำให้เราอ่อนไหวต่อคำวิจารณ์มากกว่าคำชม Daniel Kahneman นักจิตวิทยาชาวอเมริกันที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ และ Amos Tversky ที่เป็นผู้ช่วยของแดเนล ทั้งสองช่วยกันทำการวิจัย และนิยามทฤษฎีนี้

 

โดยให้เหตุผลที่เรียบง่ายว่า “คนเราเกลียดการสูญเสียมากกว่าดีใจกับการได้มา” หรือจะให้เข้าใจง่ายๆเลยก็คือ คนเราให้ค่าความทุกข์มากกว่าความสุข ที่เป็นเช่นนี้เพราะ คนเรา “ยึดติด” กับสิ่งของที่เรามี โดยเฉพาะถ้าสิ่งของนั้นเราเป็นคนทุ่มแรงสร้างมันมากับมือ เสียแรง-เสียเงิน-เสียเวลา เราจะยิ่งเสียมันไปได้ยากยิ่งขึ้น

 

ให้ภาพอธิบาย หากคุณหาเงินได้มา 100 $ คุณรู้สึกก็ดีใจนะ ก็ดี ก็ไม่ได้แย่ แต่เวลาเสียไป 100 $  เสียใจแบบจะเป็นจะตาย ทำไมเราจึง “หลีกเลี่ยงการสูญเสีย” ?  เรื่องนี้เป็นนิสัยที่สืบทอดกันมาผ่าน DNA จากรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ย้อนกลับไปสมัยก่อนความเป็นอยู่ของมนุษย์ยุคโบราณนั้นเปราะบางมาก

 

ความผิดพลาดแบบโง่เขลาเพียงครั้งเดียว อาจนำความตายมาสู่ชีวิตได้ทันที (ยกตัวอย่างเช่นคุณพลาดไปกินผลไม้พิษ วิ่งสะดุดล้มระหว่างหนีเสือ ก็ทำให้คุณตายได้ในทันที มันจึงทำให้มนุษย์กลัวการที่จะสูญเสีย)

 

คนที่รอดชีวิตคือคนที่ระมัดระวังภัย คนกลุ่มนี้จะรอบคอบสุดๆ มักไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย จะหลีกเลี่ยงการสูญเสียทุกรูปแบบ ความกลัวจึงกลายมาเป็นสันชาตญาณที่ทำให้มนุษย์ดำรงชีวิตรอดอยู่ได้ นอกจากนี้วัฒนธรรมยังมีส่วนในการเพิ่มความกลัวใน Loss Aversion

 

เพราะว่าถ้าหากตัดสินใจผิดพลาดไปแล้ว นอกจากตัวเองจะรู้สึกแย่แล้วยังโดนกระแสคนรอบข้างหรือสังคมซ้ำเติมอีก

 

โดยรวมแล้วมีอยู่ 3 ปัจจัยหลักที่ทำให้มนุษย์ “หลีกเลี่ยงการสูญเสีย”

  • การทำงานของระบบประสาท
  • สถานะทางสังคม
  • วัฒนธรรม

 

แต่ละคนมีมากมีน้อยแตกต่างกันไป ตามปัจจัยที่กล่าวไปข้างต้น

 

นอกจากนี้ มีการทดลองหนึ่ง แจกโบรชัวร์ 2 แบบให้ผู้ป่วย 2 กลุ่ม เกี่ยวกับการตรวจหามะเร็งเต้านมด้วยตัวเอง (Breast Self-Examination หรือ BSE)

  • กลุ่มแรก ได้โบรชัวร์แบบที่ 1 เขียนว่า ผู้หญิงที่ตรวจ BSE มีโอกาสสูงขึ้นมากที่จะตรวจเจอ และจะสามารถรักษาหายได้ ตั้งแต่เนิ่น ๆ และจะไม่เป็นหนัก
  • กลุ่มที่สอง ได้โบรชัวร์แบบที่ 2 เขียนว่า ผู้หญิงที่ไม่ได้ตรวจ BSE มีโอกาสน้อยมากที่จะตรวจเจอและและมีโอกาสน้อยมากที่จะรักษาหายได้ทันท่วงที มีโอกาสป่วยหนัก

 

การติดตามสัมภาษณ์หลังจากนั้นพบว่า ผู้ป่วยกลุ่มที่สอง มีการตื่นตัวรับรู้ถึง BSE สูงกว่ากลุ่มแรก แบบมีนัยยะสำคัญ แม้ทั้ง 2 โบรชัวร์เหมือนกัน แต่การเปลี่ยนข้อความ “เน้นย้ำถึงการสูญเสีย” กลับได้ผลกระทบที่สูงกว่า

 

อีกการทดลองเพื่อให้เห็นชัดเจนว่า Loss Aversion ทำงานยังไง ?

มีกล่องจับฉลาก 2 กล่องให้เลือก

  • กล่องแรก: ได้เงิน 10,000 บาทชัวร์ๆ
  • กล่องที่สอง: อาจจะได้เงิน 20,000 บาท หรือ ไม่ได้อะไรเลย

คนส่วนใหญ่จะเลือกกล่องแรก เพราะเขายอมได้น้อย ดีกว่าที่ต้องมารู้สึกเสียดาย ที่จับรางวัลมาแล้ว ปรากฏว่าเขาไม่ได้อะไรเลย

 

อีกการวิจัยหนึ่งของ Daniel Kahneman และ Amos Tversky กับการเลือกซื้อรถ

เวลาเราไปเลือกซื้อรถเต็มฟังก์ชั่น กับรถที่ยังไม่ได้เพิ่มฟังก์ชั่น ทางร้านเปิดตัวขายรถที่เต็มฟังก์ชั่นในราคา 1,000,000 กับรถโมเดลพื้นฐานอยู่ที่ 900,000

 

ปรากฏว่า คนส่วนมากให้ความสนใจกับโมเดลพื้นฐานแต่มาเพิ่มฟังก์ชั่นอื่นๆทีหลัง โดยมีความรู้สึกว่าตัวเองได้กำไร แต่ถ้าหากเริ่มขายที่โมเดลเต็มฟังก์ชั่น แล้วนำคุณสมบัติออกทำให้รู้สึกเหมือนสูญเสีย

 

ทั้งๆ ที่จำนวนเงินก็เท่ากัน แต่เรากลับให้น้ำหนักความรู้สึกกับมันไม่เท่ากันเสียอย่างนั้น การที่เรามัวแต่โฟกัสกับความเสียหาย มันทำให้เราไม่ได้นึกถึงวิธีอื่นๆ ที่จะช่วยให้เราได้ผลกำไร

 

Loss Aversion กับบริษัทประกันชีวิต

Loss Aversion อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบริษัทประกันชีวิตทั่วโลก มันทรงพลังขนาดทำให้คนเรายอมจ่ายค่าประกันแพงๆ ติดต่อกันเป็นสิบๆ ปีให้กับบริษัทประกันชีวิต แม้ว่าโอกาสที่เราจะเสียชีวิตมีน้อยมาก เพราะว่าเขาจับจุดความกลัวที่สูญเสียของมนุษย์ตรงนี้ได้

 

Loss Aversion กับชีวิตคู่

สังเกตุดูง่ายๆว่าคู่รักที่คบกันนานๆ มักจะไม่กล้าเลิกกันง่ายๆ บางคนต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อที่จะรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้ต่อไป เพียงเพราะว่าเสียดายเวลา เสียดายอะไรต่างๆนาที่ทำร่วมกันมา จึงทำให้ไม่กล้าที่จบความสัมพันธ์ที่เป็นToxic

 

Loss Aversion กับการลงทุน

ความกลัวขาดทุน จุดอ่อนนี้ส่งผลให้การตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องการลงทุนของมนุษย์ผิดพลาดไปหมดและทำให้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่ควรจะเป็น คือการที่คุณยินดีที่สละโอกาสในได้รับผลตอบแทนมากเกินไปเพียงเพื่อแลกกับการเลี่ยงที่จะไม่ต้องขาดทุน

 

ยกตัวอย่าง Loss Aversion กับการลงทุนในหุ้น หากเห็นว่ากำไรน้อยลงกว่าเมื่อวาน สมองจะตีความว่าเป็นการสูญเสีย ทำให้ไม่ยินดีที่จะขายออกแม้ว่าตนเองยังคงกำไรอยู่ก็ตาม

ทฤษฎี Loss Aversion

 

ยิ่งตลาดลงไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งที่จะไม่ยอมขาย จนกระทั่งไม่เห็นโอกาสที่จะกลับมากำไรเหมือนเดิมจึงขายออกมาในจุดที่กำไรน้อยหรือไม่ก็ขาดทุน

 

โดยรวมแล้ว การเลือกสินทรัพย์ที่ดีจึงไม่สามารถให้ผลตอบแทนดีได้ เนื่องจากการตัดสินใจอย่างไม่สมเหตุสมผล ได้แก่ การเดินไปในที่ที่ไม่คุ้นเคยด้วยความมั่นใจเกินไปแทนที่จะระมัดระวัง การซื้อหุ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่ควรทยอยขายออกในภาวะตลาดขาขึ้น

 

หรือการไม่กล้าขายทำกำไรขณะที่ยังมีโอกาสในภาวะตลาดขาลง เป็นต้น เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย”

 

แก้ปัญหา loss aversion ได้อย่างไร?

 

1. ขอบคุณสิ่งที่เข้ามา

วิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะความกลัวการขาดทุนคือ การยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นและสำนึกรู้คุณกับสิ่งที่คุณมีอยู่ มองหาข้อดีในสถานการณ์นั้นๆ

 

เตรียมพร้อมที่จะประสบความสำเร็จไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับคุณให้มองหาข้อดีและเรียนรู้จากมัน ขอบคุณทุกประสบการณ์ที่เข้ามาสอนคุณให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง

 

2. มองการไกล

วางแผนทุกอย่างด้วยการมองการไกล มองภาพความสำเร็จในอนาคต ไม่เอาตัวเองมาติดกับกับดักคิดวนเวียนกับความผิดพลาดที่ทำลงไปเมื่อวาน

 

การมองไปข้างหน้าจะช่วยให้คุณวางตำแหน่งตัวเองเพื่อไม่ให้พลาดโอกาส ลองนึกภาพว่าพื้นที่นี้จะเป็นอย่างไรในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีนี้จะเปลี่ยนโลกโดยสิ้นเชิง  ดังที่บิล เกตส์กล่าวไว้ว่า

 

“คนส่วนใหญ่ประเมินค่าสูงไปในสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ใน 1 ปี และประเมินค่าสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ใน 10 ปีต่ำไป”

 

3. เตรียมพร้อม ยอมรับความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้

พาตัวเองออกมาจาก Comfort zone กล้าที่จะเสี่ยงเพื่ออะไรที่ดีกว่า ให้มองว่ามันเป็นความตื่นเต้นและท้าทาย หากทำพลาดไปก็เปลี่ยนใหม่ไปในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าเดิม

 

4. เปลี่ยนชุดความคิดและวิถีการใช้ชีวิต

คิดในเชิงบวก หาความรู้หรือข้อมูลดีๆในการพัฒนาทักษะของตัวคุณเอง

 

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน ในการใช้เวลา 24 ชม ของ ก และ ข

 

ก :เลือกที่จะเสพแต่สื่อดีๆที่ให้ความรู้กับตัวเอง และพัฒนาจิตใจและอามรณ์ให้ดีขึ้น เวลาคนกลุ่มนี้ไปพบปะเพื่อนฝูง ก็จะชาร์แต่ข้อมูลดีๆให้กัน ส่งเสริมความฉลาดให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก

ข :เลือกเสพแต่ข่าวบ้านเมืองที่ชลมุนวุ่นวาย ยิ่งดูยิ่งทำให้รู้สึกหดหู่ใจ  เวลาไปพบป่ะกับเพื่อนก็ยกเรื่องเหล่านี้มาเป็นประเด็นพูดคุย ไม่ว่าจะนินทาหรือวิจารณ์คนอื่น

 

ชีวิตของคุณ คุณกำหนดมันเองว่าจะให้ไปในทิศทางไหน

 

Source

 

กลับสู่หน้าหลัก  uhas.com

ไปอ่านบทความ  Forex คือ