เทคนิคการเทรด จาก.. “พ่อมดแห่งตลาดหุ้น” Mark Minervini

เรื่องPatihanUhas

เทคนิคการเทรด

เทคนิคการเทรด จาก.. “พ่อมดแห่งตลาดหุ้น”  Mark Minervini “พ่อมดแห่งตลาดหุ้น” ที่มีรายต่อปีประมาณ 60 ล้านบาท และยังเป็นเจ้าของหนังสือชื่อดังเกี่ยวกับการลงทุนอีกมากมาย

 

สารบัญ

เทคนิคการเทรด จาก.. “พ่อมดแห่งตลาดหุ้น”

 

  • มาร์ค มิเนอร์วินี เศรษฐีเซียนหุ้นชาวอเมริกัน ปัจจุบัน อายุ 54 ปี
  • มาร์ค มิเนอร์วินีเป็น นักธุรกิจ นักเขียน และนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เขาได้รับเชิญให้ไปพูดในมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา
  • หนังสือเขาเป็นที่รู้จักและโด่งดังมาก
  • มูลค่าสินทรัพย์ของมาร์ค มิเนอร์วินีโดยประมาณ $18Millon. รายได้ต่อปี $2 million จากรายงานเมื่อวันที่(8 /Jan/ 2022) horwax.com
  • ในปี 2021 เขาคือผู้ชนะรางวัล S. Investing Champion
  • ช่วงแรกของ มาร์ค มิเนอร์วินี ประสบความล้มเหลว หมดตัว แต่ก็พยายามสู้ เรียนรู้จากความผิดพลาด ให้ความสำคัญกับการลองผิดลองถูก จนกระทั่งประสบความสำเร็จ
  • เขาเทรดในรูปแบบของ Swing trade มานานกว่า 30+ ปี medium.com
  • เขาเป็นผู้ก่อตั้งกองทุนป้องกันความเสี่ยง Quantech Fund LP และประธานของ Quantech Research Group ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ในการเลือกดอกเบี้ยหุ้นสำหรับลูกค้าสถาบันตามวิธีการของเขา
  • มาร์ค มิเนอร์วินี ได้ค้นพบระบบ SEPA จากการที่เขาอยู่ตลาดการเงินมาเป็นระยะเวลามานานกว่า 30 ปี SEPA เป็นวิธีการ ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าปกติที่ใช้กันในทุกตลาด ด้วยการผสมผสานการบริหารความเสี่ยงที่มีความรอบคอบ การวิเคราะห์ตัวเอง และความพยายามมุ่งมั่นเอาไว้ด้วยกัน

 

Mark Minervini

 

เขาได้อธิบายไว้อย่างละเอียดว่า จะเลือกจุดเข้าซื้อที่แม่นยำและรักษาเงินต้นได้อย่างไร เพื่อให้ได้ผลตอบแทนเป็นตัวเลขเปอร์เซ็นต์ 3 หลักอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ

 

ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มเข้ามาในตลาด หรือคุณเป็นมือโปรที่ช่ำชองไปแล้วก็ตาม มิเนอร์วินีจะแสดงให้เห็นว่า ต้องทำอย่างไรจึงจะได้ผลกำไรขั้นเทพ! คุณจะได้ความรู้อันมีค่าจากบทเรียน ความเป็นจริงของการเทรด และกลยุทธ์เฉพาะตัวที่เขาได้

 

นี่คือเว็ปไซต์ของมาร์ค มิเนอร์วินี ที่เปิดเผยวิธีการทางตลาดหุ้นที่เรียกว่า SEPA ซึ่งเขาได้จดทะเบียนเป็นเครื่องหมายทางการค้าไว้แล้ว

https://www.minervini.com/about.php

*มาร์ค มิเนอร์วินี สร้างเงินจากตรงนี้ด้วย

 

คำพูด ประโยคเด็ดของ Mark Minervini

 

  • ไม่สำคัญว่าคุณจะใช้ปืนแบบไหน สุดท้ายแล้วมันขึ้นอยู่กับ”ฝีมือคนยิง”
  • ยิ่งคุณใช้ “จุดตัดขาดทุน” แคบเท่าไหร่ … จังหวะ “การเข้าซื้อ” ของคุณ … ต้องมี “ความแม่นยำ” มากขึ้นด้วย
  • มีหลายๆสิ่งที่สามารถทำให้เราตัดสินใจในขณะการเทรด … งานของคุณคือการรักษาความคิดและโฟกัสในสิ่งที่เกิดขึ้น … เพราะทุกๆสิ่งนอกจากนี้ มันคือ สิ่งรบกวนที่ไม่พึงประสงค์
  • ผมต้องการมีกำไรทันทีหลังจากที่ซื้อหุ้น หากผมไม่เห็นกำไรโดยเร็วหลังจากที่ซื้อ ผมก็มีแนวโน้มที่จะขายหุ้นออกไป
  • ถ้าคุณพยายามเล่นหุ้นให้ได้ทุกแบบ สุดท้ายคุณจะไม่เก่งเลยสักแบบ (ข้อคิดส่วนหนึ่งจากหนังสือ Think & Trade Like A Champion)
  • คุณต้องยอมรับความจริงที่ว่า การจะเป็นเทรดเดอร์หุ้นระดับแชมป์เปี้ยนมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการมีพรสวรรค์ หรือต้องจบการศึกษาระดับสูงจากไอวี่ลีก แต่มันเริ่มต้นจากการมีความเชื่ออย่างแท้จริงว่า ชัยชนะเป็นสิ่งที่คุณเลือกได้อย่างไม่มีข้อสงสัย
  • นักจิตวิทยาพบความสัมพันธ์ทางสถิติโดยตรงระหว่างชั่วโมงที่ฝึกฝนกับระดับของผลสัมฤทธิ์หรือทักษะความสามารถ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่พรสวรรค์ตามธรรมชาติ นักดนตรีระดับสูงจะใช้เวลาฝึกฝนมากกว่านักดนตรีที่มีความสามารถน้อยกว่าถึงสองเท่า
  • มันมีกฏข้อหนึ่งที่สามารถใช้ได้กับทุกกลยุทธ์ คือ การปกป้องสภาพจิตใจของคุณ! อย่าปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความรู้สึกเสียดาย หรือตกอยู่ในภาวะตัดสินใจไม่ได้-ทำอะไรไม่ถูก
  • มาร์ค แนะนำใครที่อยากจะเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ ควรเริ่มจากการเล่นไพ่ Poker

 

มาร์ค มิเนอร์วินี มองว่าไม่มีใครเกิดมาเพื่อเป็นนักเก็งกำไรตั้งแต่ลืมตาดูโลก มันไม่สำคัญว่าอยากจะเป็นอะไรด้วยซ้ำ

 

สิ่งสำคัญคือเราเชื่อว่าตัวเองสามารถทำได้หรือเปล่า สามารถพัฒนาได้แค่ไหน ความเชื่อมั่นในตัวเองต่างหากคือสิ่งสำคัญ และทำให้เราประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด แต่คนส่วนใหญ่กลับดูว่าคนอื่นเทรดยังไงแล้วทำตาม มันสำเร็จไม่ได้หรอกถ้าไม่เชื่อมั่นในตัวเอง

 

ความจริงเกี่ยวกับ Mark Minervini

***เขาไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวของเขา รวมทั้งวันเกิดและบ้านเกิด แต่เราจะหาเท่าที่หาได้ จากแหล่งข่าวที่ไม่รู้ว่าน่าเชื่อถือได้แค่ไหน

 

  • มาร์ค มิเนอร์วินี สัญชาติอเมริกัน
  • มาร์ค มิเนอร์วินี เกิดที่สหรัฐอเมริกาในช่วงกลางทศวรรษที่ 60 โดยเชื่อว่าราศีของเขาคือราศีเมถุน
  • ไม่มีใครรู้จักพ่อแม่มาร์ค มิเนอร์วินี เพราะว่าเคารพสิทธิในความเป็นส่วนตัวของพวกเขา แต่ก็ยังมีข่าววงในที่พูดกันว่า พ่อของเขาเป็นนักธุรกิจ ส่วนแม่ของเขานั้นเป็นทนายความ
  • เขาเป็นเด็กที่เรียนได้เกรดดี และมีความฝันที่จะเป็นนักธุรกิจได้เหมือนพ่อของเขา
  • เขาสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีในช่วงครึ่งหลังของยุค 80 และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทในช่วงต้นทศวรรษ 90
  • มาร์ค มิเนอร์วินี แต่งงานแล้วในช่วงเดือน March 2022 แต่รายละเอียดเกี่ยวกับภรรยาและลูกของเขายังไม่ถูกเปิดเผย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีลูกชาย
  • มาร์คไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดมากมายเกี่ยวกับอาชีพการงานของเขา (เท่าที่รู้ เขายังทำงานเป็นผู้สนับสนุนในองค์กรที่ชื่อ CMT Association)
  • มาร์คหลงใหลไปกับการเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลกเพื่อทำงานและพักผ่อน โดยส่วนตัวของมาร์คโปรดปราน Miami, Florida.
  • อีกอย่างที่เขาชอบคือการตีกลอง “ดนตรี” เพราะว่าเขามีความฝันที่อยากเป็นนักดนตรี https://www.youtube.com/watch?v=KiO-bmo1aY8
  • มาร์คเป็นคนใจบุญ และได้บริจาคเงินให้กับองค์กรการกุศลหลายแห่ง โดยส่วนใหญ่จะเน้นให้กับองค์กรที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างชีวิตปกติสำหรับทหารผ่านศึกและเด็กด้อยโอกาส
  • มาร์คเป็นแฟนตัวยงของภาพยนตร์ฮอลลีวูด นักแสดงและนักแสดงคนโปรดของเขาคือทอม แฮงค์และเคท วินสเล็ต

 

ถึงแม้ว่ามาร์คจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการธุรกิจ แต่เขาก็ยังรักษาชีวิตส่วนตัวของเขาไว้เป็นความลับ

 

จุดเริ่มต้นการเทรดของ Mark Minervini

ในปี1980 เขาเริ่มมีความสนใจในการเทรด เขาขาย Studio เพื่อนำเงินก้อนนั้นมาเทรด หลังจากเทรดไปได้ไม่นานเขาก็หมดตัว

 

เพราะว่าเขาเชื่อ broker ที่ให้ถัวเฉลี่ยหุ้นขาลง หลังจากได้เรียนรู้ คราวนี้เขาเลือกเล่นเฉพาะหุ้นขาขึ้น หากราคาลงต่ำกว่าราคาซื้อมากก็ตัดขาดทุน แต่ปัญหาของเขาก็คือ ไม่กล้าสั่งให้ตัดขาดทุน ยิ่งราคาลงลึกมากเท่าไหร่ยิ่งไม่กล้าโทรไปบอกbroker เพราะว่าอายกลัวขายหน้า

 

แนวโน้มดูเหมือนจะดีขึ้นที่เขาเปลี่ยน Broker  แต่เขาไม่กล้าตัดขาดทุน จึงเป็นเหตุทำให้ขาดทุน

(เพราะว่าการหุ้นในปี 1980 ยังไม่มีนวัตกรรมเหมือนสมัยนี้ โทรศัพท์ก็จะเป็นเหมือนในรูป )

Mark Minervini

 

หลังจากนั้นมาร์คก็พยายามซื้อให้ได้ในจุดที่ต่ำที่สุด อาจเป็นเพราะว่าช่วงนั้นเขายังไม่มีกลยุทธ์เด็ดเป้นของตัวเอง ล้มลุกคลุกคลาน ลองผิดลองถูก ทำเงินไม่ได้ 6 ปีติดต่อกัน แต่เขาไม่ได้ล้มเหลว เพราะเขาได้เรียนรู้ถึงวิธีการที่ไม่ได้ผลต่างๆ ให้การเทรดของเขามีประสิทธิภาพเพิ่มมากยิ่งขึ้น

 

ในปี 1983 มาร์คเริ่มเทรดด้วยเงินไม่กี่พันดอลลาร์ เขาลงทุนในหุ้นสองสามร้อยหุ้นในอัลลิส-ชาลเมอร์ส (Allis Chalmer)

 

มาร์คสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจนกลายเป็นมหาเศรษฐีในวัยเพียง 30 ต้นๆ

 

ทั้งยังมีบทบาทให้คำแนะนำแก่ยักษ์ใหญ่ในวงการวอลล์สตรีท รวมถึงเทรดเดอร์จาก Soros Management ด้วย เขาได้รับการยกย่องเป็นเทรดเดอร์ดาวเด่นในวงการวอลล์สตรีท

 

เมื่อนักเขียนชื่อดังอย่าง Jack Schwager ได้หยิบยกผลงานความสำเร็จอันโดดเด่นและแนวคิดในการบริหารจัดการความเสี่ยงอันเข้มงวดของคุณมาร์คจากยุคค.ศ. 1990 มาเผยแพร่จนเป็นที่รู้จักมากขึ้น

 

โดยคุณ Schwager ได้เขียนไว้ในหนังสือขายดีอย่าง Stock Market Wizards: Interviews with America’s Top Stock Traders ว่า “มาร์ค มิเนอร์วินี ทำผลงานได้เหนือกว่าคนที่จบปริญญาเอกส่วนใหญ่ที่พยายามออกแบบระบบให้เอาชนะตลาด”

 

และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มาร์คก็ได้รับการเชิดชูให้เป็นเทรดเดอร์หุ้นที่ประสบความสำเร็จเป็นอันดับต้น ๆ ของอเมริกา ในขณะเดียวกันเหล่าเทรดเดอร์หุ้นก็ยกให้เขาเป็นเทรดเดอร์ในตำนานด้วย

 

ข่าวล่าสุดของ Mark Minervini

ในปี 2021 เขาคือผู้ชนะรางวัล U.S. Investing Champion

 

การแข่งขัน United States Investing Championship ได้ประกาศรายชื่อผู้ชนะประจำปี 2021

 

ซึ่งมีเทรดเดอร์ร่วมแข่งรวมทั้งสิ้น 338 รายทั่วโลกแล้ว ผู้ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในหมวดหุ้นรวมมูลค่ากว่า 1,000,000 ดอลลาร์ ด้วยอัตราผลตอบแทนทั้งปีถึง +334.8% คือมาร์ค มิเนอร์วินี

 

โดยคุณ Norm Zada ผู้ประสานงานในการแข่งขันครั้งนี้ ยกให้ผลงานของคุณมาร์ค มิเนอร์วินีเป็นการ “ทุบสถิติใหม่” เหนือสถิติเดิมที่คุณ George Tkaczuk เคยทำไว้ในปี 2563 ที่ +119.1% นอกจากนี้ คุณ Minervini

 

อีกทั้งยังเคยชนะการแข่งขัน U.S. Investing Championship เมื่อปี 1997 ด้วย ซึ่งขณะนั้นทำผลตอบแทนทั้งปีได้ 155% มาร์คประสบความสำเร็จอย่างสูงในขณะที่รักษาความเสี่ยงไว้ต่ำมาก เขามีรายได้ลดลงเพียง 1ใน 4  หรือแทบจะไม่ขาดทุนเพียงเศษเสี้ยวของ 1 %

 

***United States Investing Championship เป็นการแข่งขันที่ใช้เงินจริง โดยจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2526 และตลอดหลายปีหลังจากนั้น การประกวดกลยุทธ์การลงทุนนี้ดึงดูดเทรดเดอร์ระดับตำนานมาได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Paul Tudor Jones, Louis Bacon, ดร. Edward O. Thorpe, Mark Strome, Mark Minervini, David Ryan, Doug Kass, Sheen Kassouf, Marty Schwartz, Frankie Joe, Tom Basso, Cedd Moses, Gil Blake, Robert Prechter, Jr. และ Bruno Combier ดูอันดับของผู้เข้าแข่งขันประจำปี 2564 ได้ที่เว็บไซต์ financial-competitions.com

 

9 ข้อคิดบางส่วน จากหนังสือของ Mark Minervini

Think and Trade Like a Champion โดย Mark Minervini

 

*** ทั้งหมดที่มาร์คเขียนบรรยายออกมา มาจากประสบการณ์ 30ปี ในการเทรดของเขาบวกกับชุดความคิดควาวเชื่อที่เขามีต่อตลาดการเงิน

 

1. ก่อนจะลงเข้าสู่สนามตลาดการเงิน ต้องเตรียมแผนการให้พร้อม

และควรเตรียมแผนสำรองฉุกเฉินเพื่อรองรับสถานการณ์เหล่านี้

  • ถ้าหุ้นวิ่งสวนทางกับสถานะคุณ คุณจะตัดขาดทุนตอนไหน
  • ในกรณีที่คุณขายตัดขาดทุนไปแล้ว หุ้นตัวนั้นควรมีพฤติกรรมอย่างไรถึงจะพิจารณาซื้อกลับมาใหม่อีกครั้ง
  • กฎเกณฑ์สำหรับการขายหุ้นช่วงที่ราคาพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง (selling into strength) และการเก็บกำไรเมื่อได้มาพอสมควรแล้ว
  • เมื่อไหร่ถึงจะขายหุ้นที่เริ่มอ่อนแอ เพื่อปกป้องกำไรของคุณ
  • วิธีที่คุณจะรับมือกับเหตุภัยพิบัติรุนแรง หรือเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันที่ต้องลงมืออย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ภายใต้สถานการณ์ที่กดดัน

 

2. คำนึงความเสี่ยงก่อนเข้าเทรดทุกครั้ง

คุณจะต้องควบคุมความเสี่ยง ทุกการเทรด และทุกวัน ซึ่งสิ่งนี้เริ่มด้วยการกำหนดจุดตัดขาดทุนหรือจุด Stop loss ของคุณ และควรรักษาผลขาดทุนของคุณไว้ไม่เกิน 10% หรือต่ำกว่านั้น สุดท้ายคือพยายามหลีกเลี่ยงจากหุ้นที่เหวี่ยงแรง

 

มีปัจจัยเพียง 4 อย่างเท่านั้นในการเทรดที่คุณสามารถควบคุมได้โดยตรง
  • ซื้อหุ้นอะไร
  • ซื้อกี่หุ้น
  • ซื้อตอนไหน
  • ขายตอนไหน

 

จงเข้าตลาดพร้อมด้วยแผนการเทรดเสมอ และคิดถึงความเสี่ยงก่อนลงมือเทรดทุกครั้ง ความเชี่ยวชาญต้องใช้ความเสียสละ

 

ดังนั้น เป้าหมายบางเรื่องต้องมาก่อนเรื่องอื่นๆ คุณต้องจัดทำรายการ เรียงลำดับความสำคัญ และไล่ตามทีละเป้าหมาย โฟกัสเพียงเรื่องเดียวจนกว่าจะทำเสร็จ แล้วถึงย้ายไปสู่เป้าหมายใหญ่อันถัดไปของคุณ

 

“การฝึกฝนอย่างผู้เชี่ยวชาญ” มันไม่ใช่แค่การทำสิ่งเดิมซ้ำ ๆแต่เป็นการนำผลลัพธ์และผลตอบรับ (feedback) ที่เกิดขึ้นมาปรับปรุงแก้ไขตนเอง เพื่อทำให้การฝึกฝนมีความหมายและเห็นผลมากยิ่งขึ้น

 

3. อย่าเสี่ยงเกินกว่ากำไรที่คุณคาดหวัง

  • อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (reward/risk ratio)
  • ความแม่นยำเฉลี่ย (batting average)

 

ยกตัวอย่างเช่น ความแม่นยำเฉลี่ย 40% กำไรเฉลี่ยครั้งละ 4% ขาดทุนเฉลี่ยครั้งละ 2% RRR = 2 : 1 เมื่อคุณเทรดไป 10 ครั้ง ผลลัพธ์ที่ได้คือกำไรสุทธิ 3.63%

 

วิธีที่ดีในการรับมือกับช่วงที่ตลาดเทรดยากคือการทำตามนี้

  • ปรับจุด stop ให้เข้มงวดขึ้น ถ้าปกติคุณตัดขาดทุนที่ 7-8% ให้ปรับขึ้นเป็น 5-6%
  • ตั้งเป้าทำกำไรให้น้อยลง ถ้าปกติคุณขายทำกำไรครั้งละ 15-20% ให้ปรับมาทำกำไรที่ 10-12%
  • ถ้าคุณใช้เงินกู้ในการเทรด (margin-leverage) ให้หยุดใช้ทันที
  • ลดสถานะหุ้นหรือลด exposure ลง ทั้งขนาดการเทรด (position size) และสัดส่วนหุ้นต่อเงินสดทั้งพอร์ต
  • รอจนกว่าคุณจะเริ่มเห็นว่า ความแม่นยำเฉลี่ย และ reward/risk ratio ของคุณปรับตัวดีขึ้น คุณถึงสามารถปรับค่าต่างๆ แล้วค่อยๆ กลับไปเทรดแบบช่วงปกติได้อีกครั้ง

 

4. จดบันทึกผลการเทรดของคุณ

จดบันทึกทุกครั้งว่าคุณซื้อและขายหุ้นที่ตรงไหน ในไม่ช้าคุณจะมีผลการเทรดที่มีทั้งตัวเลขผลขาดทุนเฉลี่ย (average losses), กำไรเฉลี่ย (average wins) และจำนวนการเทรดที่ได้กำไรและขาดทุน (frequency of the wins and losses)

 

นอกจากนี้ ในแต่ละเดือนผมจะจดบันทึกการเทรดที่ได้กำไรและขาดทุนมากที่สุดเอาไว้ (largest gain and largest loss) รวมไปถึงระยะเวลาถือหุ้นเฉลี่ย (average holding time)

 

การจดบันทึกจะทำคุณจะได้เห็นข้อมูลสำคัญและสถิติการเทรดของคุณอย่างที่ไม่มีหนังสือเล่นไหน งานสัมมนาที่ไหน อินดิเคเตอร์ หรือระบบใดๆ ก็ตามที่จะสามารถบอกคุณได้

 

พอร์ตที่มีการเทรดทำรอบโดยใช้การเก็บกำไรทีละเล็กน้อยนั้น อาจทำผลตอบแทนรวมได้สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับพอร์ตที่มีการทำรอบน้อยกว่าและหวังกำไรก้อนใหญ่ในแต่ละการเทรด

 

5. เป้าหมายของคุณคือซื้อตอนที่หุ้นกำลังเป็นขาขึ้น ไม่ใช่ตอนที่หุ้นยังคงร่วงลงอยู่เรื่อย ๆ

เรื่องราว ผลประกอบการ และมูลค่าหุ้น ไม่ใช่สิ่งที่ผลักดันให้ราคาหุ้นขยับขึ้นหรือลง แต่มันเกิดขึ้นจากการกระทำของผู้เล่นในตลาด เพราะถึงแม้จะเป็นหุ้นของบริษัทที่มีคุณภาพสูงที่สุดในตลาด แต่ถ้าไม่มีคนต้องการซื้อหุ้นเลย มันก็ไม่ต่างอะไรกับเศษกระดาษที่ไม่มีค่าใดๆ

 

การจะทำเงินให้ได้อย่างสม่ำเสมอ คุณต้องรักษาวินัย ปฏิบัติตามกฏและกลยุทธ์ที่คอยป้องกันคุณจากการฝืนเทรดในจังหวะที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงการเสี่ยงโดยไม่มีเหตุผล เพียงเพราะคุณแค่ต้องการมีส่วนร่วมในตลาด

 

6. ซื้อหุ้นที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นเท่านั้น

จะต้อง trade ในขณะที่หุ้นเป็นเทรนด์ขาขึ้น ไม่เทรดในขณะที่หุ้นเป็น trend sideway หรือ downtrend

  • Stage 1 ช่วงถูกละเลย หุ้นกำลังทำฐานใหม่
  • Stage 2 ช่วงขาขึ้น หุ้นกำลังถูกซื้อสะสม และวิ่งขึ้น
  • Stage 3 ช่วงทำจุดสูงสุด หุ้นเริ่มถูกทยอยขายด้านบน (ออกของ) และจบรอบ
  • Stage 4 ช่วงขาลง การพังทลายของราคาหุ้น

 

7. หุ้นตัวที่ดีที่สุดจะทำจุดต่ำสุดก่อนดัชนีตลาด

Entry Point: เวลาที่เข้าซื้อหุ้นนั้นสำคัญมาก หุ้นที่มีประสิทธิภาพสุดยอด จะมี VCP Pattern จะ break แนวต้านก่อนพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

ยกตัวอย่าง

หุ้น eBay ปี 200-2002 ราคาหุ้นทำจุดต่ำสุดในปี 2001 แต่ยังไม่ได้พักทำฐานที่ดีจนกระทั่งช่วงปลายปี 2002 หลังทำฐานเสร็จ หุ้นเบรกเอาท์และให้ผลตอบแทนถึง 225% ในเวลา 23 เดือน

 

8. กำหนด Size ของการเทรด เพื่อให้ได้ผลลัทธ์ที่ดีที่สุด

จำกัดระดับความเสี่ยงสูงสุด (maximum risk) ในการเทรดแต่ละครั้งไว้ไม่เกิน 1.25-2.5% ของเงินลงทุนทั้งหมดของคุณ

 

แนวทางในการกำหนด (position sizing)

  • กำหนดความเสี่ยงในกรอบ 1.25%-2.50% ของเงินลงทุนทั้งหมด
  • ตั้งจุดตัดขาดทุน (stop loss) สูงสุดไม่เกิน 10%
  • ผลขาดทุนเฉลี่ยไม่ควรเกิน 5-6% ต่อครั้ง
  • อย่าถือหุ้นตัวเดียวมากกว่า 50% ของพอร์ต
  • ตั้งเป้าขนาดการเทรดที่ 20-25% ในหุ้นตัวที่ดีที่สุด
  • ถือหุ้นไม่เกิน 10-12 ตัว (16-20 ตัว สำหรับนักลงทุนมืออาชีพที่พอร์ตใหญ่มาก)

 

ช่วงที่เหมาะสมในการขายหุ้นและเก็บกำไร

มี 2 ทางเลือกในการขายหุ้น

  • ขายช่วงที่ราคาหุ้นแข็งแกร่งอยู่ : Sell into strength
  • ขายเมื่อราคาหุ้นเริ่มอ่อนแอ : Sell into weakness

 

9. สิ่งที่จะช่วยให้คุณปลดล๊อคและสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุด

  1. รู้จังหวะการเทรด (Timing)
  2. ไม่กระจายพอร์ตมากจนเกินไป
  3. การปรับพอร์ตบ่อยไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลย
  4. รักษาอัตราส่วน reward/risk เอาไว้
  5. ขายตอนที่ราคาหุ้นยังแข็งแกร่ง / ขายเมื่อราคาหุ้นเริ่มอ่อนแอ
  6. เริ่มเทรดจากขนาดเล็กน้อยจะเทรดขนาดใหญ่
  7. เทรดตามแนวโน้มหลักเสมอ
  8. ปกป้องจุดคุ้มทุนของคุณ เมื่อได้กำไรพอสมควรแล้ว

 

กับดักสุดอันตราย 3 อย่างที่เทรดเดอร์พึงระวัง
  • อารมณ์ … ทำให้คุณลงมือทำสิ่งต่างๆ อย่างไม่มีเหตุผล
  • ความคิดเห็น … ทำให้เกิดกรอบความคิดที่จำกัดมุมมองของคุณ
  • อีโก้ … ทำให้คุณไม่ยอมรับและแก้ไขข้อผิดพลาด

สำหรับ มาร์ค มิเนอร์วินี เขามีความเชื่อที่ว่า มันจำเป็นอย่างมาก การดื้อดึงมากเกินไปพาคนขาดทุนหนักมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว

 

ลองคิดถึงตัวเราเองเวลาเทรดก็ได้ พอไม่ทำตามแผน หรือคิดว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่ตัวเองคิด หุ้นตัวนี้ต้องขึ้น กำไรมันต้องโต สุดท้ายผลลัพธ์ก็จบไม่สวยสักราย

 

(ปล.) หากใครมีความคิดว่า “คนรวยจริงจากตลาด …..ไม่เคยเขียนหนังสือหรือไม่หารายได้จากจุดอื่นเพิ่ม

 

คนโง่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่คนฉลาดจะเรียนรู้ทั้งจากประสบการณ์ของตัวเองและคนอื่น การอ่านเป็นหนึ่งในวิธีที่ทำให้เราเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่นได้

 

Contact

 

Source