ความผิดพลาด วางแผนการเงิน ของคนรุ่นใหม่ by Robert Kiyosaki ที่พูดไว้ในหัวข้อ The biggest mistake young people make ในช่อง Youtube ของเขา ซึ่งเป็นหัวข้อที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ทางทีมงาน Uhas.com จึงได้ทำการถอดรหัสใจความสำคัญออกมา ในแบบฉบับเข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้จริง
ความผิดพลาด วางแผนการเงิน ของคนรุ่นใหม่
โรเบิร์ต คิโยซากิ (Robert Kiyosaki) เป็นนักธุรกิจและนักเขียนชาวอเมริกัน และเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้เขียนหนังสือ “Rich Dad Poor Dad” หรือ หนังสือพ่อรวยสอนลูก ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับโลกของการเงินและการลงทุน หนังสือของเขาเปลี่ยนชีวิตคนนับล้านทั่วโลก
เขาเป็นผู้ประกอบการ นักเรียนรู้ และนักลงทุน ที่มีความเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นได้ รวมถึงสามารถควบคุมอนาคตทางการเงินและประสบความสำเร็จร่ำรวยเงินทอง
หนังสือเล่มล่าสุดของโรเบิร์ต
- “Why the Rich Are Getting Richer”
- “More Important Than Money”
โรเบิร์ตยังได้ร่วมเขียนหนังสือกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ก่อนที่ทรัมป์จะชนะการเลือกตั้ง กลายเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา
ในวิดิโอนี้ โรเบิร์ต คิโยซากิ ได้พูดคุยกับอเล็กซ์แซนดรา เกี่ยวกับการศึกษาเรื่องการเงินของคนรุ่นใหม่ หรือที่เราเรียกกันว่า Millennial generation , Gen Y
โรเบิร์ต คิโยซากิ ได้พูดในใจความที่ว่า.. เด็กวัยรุ่นสมัยนี้โดยส่วนใหญ่แล้ว ไม่ค่อยวางแผนการเงินให้กับตัวเอง เพราะคิดว่าตัวเองยังเด็กอยู่ ยังไม่ถึงเวลาที่จริงจังกับชีวิต การที่ใช้ชีวิตไปวันๆ อยู่แบบไม่มีเป้าหมายชีวิต ไม่ต่างอะไรจากคนตาย จงจำไว้ว่าคุณแก่ตัวลงไปทุกๆวัน และคุณไม่ได้เป็นเด็กอีกต่อไปแล้ว
วันนี้ฉันถึงต้องพูดถึงเกี่ยวกับทรัพย์สินและหนี้สิน
สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมนุษย์คือ “เวลา” เพราะว่ามันเป็นหนึ่งในทรัพย์สินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณ หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ เวลามันคือความรับผิดชอบของคุณในการใช้ชีวิต
ผมพึ่งจะย่างเข้าอายุ 70 ปีเมื่อไม่นานมานี้ และผมก็มีเพื่อนบางคนที่ “ไม่มีอะไรเลย” พวกเขาอาจจะมีบ้าน มีรถ มีภรรยาและลูกๆที่น่ารัก แต่พวกเขาก็ยังคงต้องทำงานเพื่อให้ได้ซึ่งเงินทองมา เวลาทั้งหมดตกอยู่ที่การหารายได้เป็นหลัก หากเขาหยุดทำงานปุ๊บ เงินก็หยุดไหลเข้า นี่แหละคือคำว่าไม่มีอะไรเลย ในทัศนคติของผม เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถสร้างอิสรภาพทางการเงินได้
ผู้คนส่วนมากมักจะตั้งหน้าตั้งตาหางาน.. ทำงานเพื่อที่จะได้เงิน.. ใช้เงินซื้อสิ่งที่พวกเขาต้องการ
และนี้คือแผนภูมิ ทฤษฎีเงิน 4 ด้าน (Cash flow Quadrant) ของโรเบิร์ต คิโยซากิ กล่าวถึงรายรับของคนเราที่มาจาก 4 ช่องทางหลัก ๆ
ทฤษฎีเงิน 4 ด้าน
- E – Employee หมายถึง พนักงานประจำ ที่ทำเงินเพื่อรับเงินเดือน
- S – Self-employee หมายถึง นายตัวเอง ฟรีแลนซ์ ผู้ประกอบการขนาดเล็ก รวมไปถึง คุณหมอเจ้าของคลีนิค ทนายความที่เปิดสำนักว่าความ
- B – Business owner หมายถึง เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีพนักงานในบริษัทกว่า 500 คน
- I – Investor หมายถึง นักลงทุน
ซึ่งการที่จะเลือกเล่นในบทบาทใดก็ตาม ล้วนแล้วมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะใช้ชุดความคิดไม่เหมือนกัน ชุดความรู้ที่ใช้ก็ไม่เหมือนกัน ทักษะที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละบทบาทก็ไม่เหมือนกัน
พูดถึงในด้านการเสียภาษี
- E – Employee: 40%
- S – Self-employee: 60%
- B – Business owner: 20%
- I – Investor: 0%
คนที่อยู่ฝั่ง Employee และ Self-employee
คนฝั่ง ES / ลูกจ้างทั่วไปและเจ้าของกิจการส่วนตัว ที่ใช้ : แรง + เวลา >>>> เงิน หากวันไหนเราป่วยหรือหยุดทำงานไปรายได้เราจะลดหรือหายไปทันที รายแบบนี้เรียกว่า Active Income
คนที่อยู่ฝั่ง Business owner และ Investor
คนฝั่ง BI / เจ้าของธุรกิจและนักลงทุน ที่ใช้ : แรง + เวลาเพื่อสร้างระบบธุรกิจ/Project การลงทุน แล้วธุรกิจหรือการลงทุนที่เขาสร้างขึ้นมา >>>>> เงิน แม้ว่าวันหนึ่งเขาจะหยุดทำงานหรือล้มป่วยไประบบธุรกิจหรือการลงทุนที่เขาสร้างไว้ก็ยังคงทำเงินให้เขาตลอดแม้ว่าเขาจะไปทำงานไม่ได้ รายได้แบบนี้คือรายได้ที่เรียกว่า Passive Income
ความผิดพลาด ของคนรุ่นใหม่ ต่อ ทัศนคติทางการเงิน
การที่พวกเขาทำและลงทุนในสิ่งที่พวกเขารักเพียงอย่างเดียว คือประมาณว่า มองโลกแคบเกินไป
ยังไม่สามรถแยกออกว่าอะไรคือ S – Self-employee และออะไรคือ I – Investor โดยส่วนมากคนรุ่นใหม่จะอยู่ในจำพวกคนกลุ่ม (S- Self-employee)
คนกลุ่ม (S- Self-employee) คนกลุ่มนี้จะถือคติที่เรียกว่า “Passion” อันนี้ก็ไม่ทำ อันนั้นก็ไม่เรียน เพราะว่าอะไร? “ก็เพราะว่าไม่มี Passion ในสิ่งนั้นๆ” ก็เลยเลือกที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองชอบเพียงเท่านั้น พวกเขาส่วนมากก็เลยไม่สามารถข้าม จากคนฝั่ง ES ไปอยู่ในฝั่ง BI ได้
คนกลุ่ม (I – Investor) พวกเขาไม่ได้มีเพียง Passion อย่างเดียว พวกเขามีจุดประสงค์
4 อาชีพหลักๆ โดยรวม บนโลกของเรา
ผมจะยกตัวอย่างของชีวิตผมให้ฟัง เมื่อก่อนผมอยู่ฝั่ง ES และผมคิดอยู่ตลอดว่าจะทำอย่างไรให้ข้ามมาอยู่ฝั่ง BI ได้ แต่ประเด็นคือผมไม่มีเงินจะไปลงทุน แล้วผมต้องทำอย่างไรล่ะ?
1. Business
สิ่งที่ผมค้นพบก็คือการหาความรู้ ผมต้องมีทักษะความรู้ที่มากขึ้น เพื่อที่ดันตัวเองให้สูงขึ้น และในบางครั้งผมก็ต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ผมไม่ชอบ เพื่อที่จะไปยังเป้าหมายที่ผมตั้งไว้ คนส่วนมากคิดว่าผมชอบเขียนหนังสือ ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะเป็นนักเขียน แต่เปล่าเลยผมไม่ชอบการเขียนหนังสือมากๆ แต่ผมก็ต้องทำ เพราะว่าสิ่งนี้มันสามารถทำให้ผมรวยขึ้นได้
สิ่งสำคัญรองจาก Mindset ก็คือ ทักษะความรู้ มันคือสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก และมันสามารถใช้ความรู้มาเป็นเครื่องมือหาเงิน หรือใช้ป้องกันตัว โดยส่วนตัวผมเรียนทั้งในด้านกฎหมาย, ภาษี, หนี้, ประกันภัย ทั้งหมดที่ผมเรียนนี้คือการสร้างเกาะป้องกันให้กับธุรกิจของผม ผมก็ไม่ได้ชอบมันทั้งหมดหรอก แต่ผมต้องเรียน
2. Do what you have passion for….
ต่อไปมาดูสิ่งที่ผมรัก ผมรักอสังหาริมทรัพย์ ผมจึงลงทุนในสิ่งนี้ (ก็อาจจะมีบางคนเหมือนกันที่รักในอสังหาริมทรัพย์ แต่ไม่สามารถลงทุนได้ เพราะขาดปัจจัยทางด้านการเงิน) ประเด็นที่ผมอย่างจะสื่อก็คือ บางครั้งผมทำในสิ่งที่ผมไม่ชอบ เพื่อวางแนวให้ผมได้ทำในสิ่งที่รัก หลังจากที่ผมมีธุรกิจเป็นของตัวเองแล้ว ผมก็มีอสังหาริมทรัพย์ และสามารถลงทุนได้อีกด้วยซึ่งนี้คือสิ่งที่ผมหลงไหลมาก
ธุรกิจมันสามารถสร้าง Life style ในแบบที่ผมต้องการ
3. Paper
ต่อมาเราจะมาพูดถึง paper … ในที่นี้ก็คือ หุ้น, กองทุนรวม,เงินออม, คริปโต,Forex, ETFs. … ในส่วนตัวผมไม่ได้รักในสิ่งเหล่านี้เลย แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ ผมว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีมากกับการมาลงทุนในสิ่งเหล่านี้ เพราะว่าจุดที่เขาโฟกัสคือตัว “เงิน”
4. Commodities
อุตสาหกรรมใน สินค้าโภคภัณฑ์ อย่างเช่น ทอง, น้ำมันดิบ ,แร่เงิน, อาหาร, ผลผลิตจากการเกษตร เช่น ชาวนาสามารถรวยได้ เพราะการปลูกข้าว นักลงทุนสามารถรวยได้จากการซื้อหุ้น ในส่วนตัวผมก็ซื้อหุ้นอวาคาโด เพราะว่าผมชอบอโวคาโด
ทีนี้ ผมอยากจะบอกว่า ผมลงทุนในสิ่งที่ผมรัก ไม่ได้ทำในสิ่งที่ผมรักเพียงอย่างเดียว
คนส่วนมากติดอยู่ในกลุ่ม ES ที่ทำในสิ่งที่พวกเขารักเพียงอย่างเดียว พวกเขาจึงยากที่ข้ามไปยังกลุ่ม BI กลุ่มคน BI ก็ยกตัวอย่างเช่น Steve Jobs, Mark Zuckerberg, Elon musk, Bezos of amazon ผมก็อยากเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนี้เช่นกัน
ความเห็นของ โรเบิร์ต คิโยซากิ เกี่ยวกับการลงทุน Crypto (Bitcoin) , Forex ,…..Etc.
โรเบิร์ตมองว่า การเทรดในสิ่งเหล่านี้ เหมือนเป็นวิ่งตาม “Shining objects” ความหมายประมานว่า วิ่งตามกระแส เพราะสิ่งที่พวกเขามุ่งหวังอยากได้คือ “เงิน”
Shining objects เปรียบเสมือนดั่งเหมือนเหยื่อล่อปลา ที่ปลาแย่งกันกินเป็นสาย บางตัวได้กินเยอะ ได้กินน้อย ไม่ได้กินอะไรเลย และบ้างเจ็บตัวก็มี การลงทุน Crypto ก็ไม่ต่างกัน
การลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ ไม่ต้องใช้ทักษะความรู้อะไรมากมาย ใครๆก็สามารถทำได้ ต่างจากการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่คุณต้องเรียนรู้ทักษะต่างๆมากมาย อย่างเช่นความรู้ทางกฎหมาย ทักษะการขาย ทักษะการเลือกพื้นที่ที่จะลงทุน ETC…
แล้วอะไรที่ทำให้พวกเขาไม่ไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอสังหาริมทรัพย์ ก็เพราะว่ามันเสี่ยงเกินไป และมันต้องใช้ทักษะความรู้ที่เพิ่มขึ้น
“The higher the risk, The more education it take”
“ยิ่งคุณมีความเสี่ยงมากขึ้นเท่าไหร่ คุณต้องเพิ่มทักษะความรู้ให้มากขึ้นกว่านั้น”
มุมมอง Robert kiyosaki ต่อ ทองคำ
ยกตัวอย่าง
หากผมขับเครื่องบิน Cessna 172 ขับบินวนไปมาในระแวกนั้น ไม่ต้องเสี่ยงอะไรมาก แต่หากว่าถ้าผมขับ Cessna 172 ไป เวียดนาม ผมจะต้องรับความเสี่ยงที่มากขึ้น จะต้องเรียนรู้ทักษะเพิ่มเติม จะทดลองอะไรหลายอย่าง
สิ่งนี้จึงบอกเป็นนัยได้ว่า การที่คนรุ่นใหม่แห่มาลงทุนในคริปโตเพราะว่ามันมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า การลงทุนในอะไรที่ใหญ่ๆซึ่งต้องพึ่งทักษะความรู้ที่มากขึ้น และมีน้อยคนนักที่จะกล้าเสี่ยง
สรุป วางแผนการเงิน
- Mindset หรือความคิดต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง
- Skill Sets หรือทักษะมาเป็นอันดับสอง
- ความแตกต่างของกฎการเล่นเกมการเงินมาเป็นอันดับสาม
ไม่ว่าในปัจจุบันคุณจะหารายได้มาแบบไหนจากฝั่ง ESBI ของเงิน 4 ด้าน หากคุณต้องการเพิ่มความมั่งคั่งให้กับตนเอง คุณจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้เพื่อสร้างระบบธุรกิจที่เป็นของตัวเองและผันตัวเองเข้าไปอยู่ในฝั่ง B หรือ I ให้ได้ เพราะฝั่งนี้จะทำให้คุณรวย มีความมั่งคั่งและมี Passive Income จากธุรกิจที่เข้ามา โดยที่คุณสามารถเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่เพิ่มรายได้ให้กับคุณได้อย่างเต็มที่
Source
Author: