กลยุทธ์ Scalping จากประสบการณ์ 15 ปี ของเบน เบนมีประสบการณ์ในตลาดมากว่า 15 ปี เขาได้ค้นพบว่ามันง่ายกว่าถ้าเราจะทำเทรดไปตามเทรนด์ เขาเรียกมันว่ากลยุทธ์ Momentum Trading หรือ การเทรดด้วยโมเมนตัม
กลยุทธ์ Scalping จากประสบการณ์ 15 ปี ของเบน
หากจะพูดให้เข้าใจง่ายขึ้น เมื่อไหร่ที่เทรดเดอร์ติดตามราคาแล้วสังเกตเห็นว่าราคากำลังวิ่งไปในทิศทางเดิมเป็นระยะเวลานานมากขึ้น และจะยังคงเคลื่อนที่ไปในทิศทางนั้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถึงจุดหนึ่งที่โมเมนตัมของแนวโน้มราคาหรือเทรนด์นั้นสิ้นสุด แต่ที่ไม่ง่ายเลยก็คือไม่มีใครรู้แน่นอนว่าโมเมนตัมราคาจะหมดเมื่อไหร่ จึงเป็นสาเหตุที่เทรดเดอร์มืออาชีพต่างมองหาเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค หรืออินดิเคเตอร์ตัวช่วยบอกโมเมนตัมนั่นเอง
เพราะ Indicator บ่งชี้โมเมนตัมจะช่วยชี้วัดและแสดงเกี่ยวกับโมเมนตัมราคา รวมถึงประเมินอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาในการเทรดคู่เงินได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อเทรดเดอร์ได้รับสัญญาณเตือนจากตัวชี้วัดโมเมนตัม ก็อาจเป็นการบ่งบอกว่าราคากำลังจะกลับตัว หรืออาจมีการเปลี่ยนเทรนด์ในไม่ช้า
ดังนั้นในวิดิโอนี้ เบนจะมาสอนเราว่า เทรดไปตามเทรนด์ในแบบฉยับของเบน
ก่อนที่เราจะเทรดไปตามเทรนด์ เราต้องรู้ระบุเทรนด์ให้ได้ก่อน Indicator ที่สามารถช่วยระบุเทรนด์ได้ในระดับหนึ่งก็คือ
- 20 Moving Averages **แต่โดยส่วนตัวของเบนที่เป็น Day trader เขาชอบใช้ 20 Moving Averages มากกว่า
- 50 Moving Averages
ยกตัวอย่าง หากกราฟอยู่เหนือเส้น Moving Averages ก็แสดงว่าเราอยู่ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น ตรงกันข้ามหากกราฟอยู่ต่ำกว่าเส้น Moving averages แสดงว่าเราอยู่ในช่วงแนวโน้มขาลง
Trend Line
Trend Line เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่สำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิค การลากเส้น Trend Line ไม่มีกฏ (Rules) ที่ตายตัว ดังนั้น “การลากเส้น Trend Line จึงไม่มีวิธีที่ถูก และไม่มีวิธีที่ผิด” แต่ละคนมีสิทธิที่จะลากเส้น Trend Line ยังไงก็ได้ เพื่อสนับสนุนมุมมองในการเทรดของตัวเอง จึงทำให้กราฟเดียวกันเราอาจจะเห็นเซียนแต่ละคนลากเส้น Trend Line ที่ไม่เหมือนกันได้
Trend Line ที่ลากขึ้นมาช่วยให้เรามีโอกาสตัดสินใจเทรดแล้วโอกาสเกิดผลผิดพลาดน้อย
ยกตัวอย่าง เบนใช้แนวรับและแนวต้าน / อุปสงค์และอุปทาน เป็นตัวช่วยในการระบุเทรนด์
สังเกตจากภาพว่า ตอนนี้เป็นช่วงแนวโน้มขาลงเพราะว่ากราฟอยู่ต่ำกว่าเส้น 20 Moving Averages หลังจากนั้น เบนก็ใช้ Trend Line ในแบบฉบับของเขาเอง
Trend Line ของเบน
เบนบอกว่า “การเคลื่อนไหวของตลาดก็เหมือนกับการเด้งของยางรถ ดิ่งลงมาถึงพื้นก็ดีดตัวขึ้น” การที่จะทำกำไรได้ต้องจับจังหวะเข้าออกให้ถูก จากภาพเราจะเห็นได้ว่ากราฟไม่สามารถพุ่งทะลุแนวต้านได้ ทรงตัวเป็นSideways ถ้าเบนเห็นกราฟมีแนวโน้มเป็นแบบนี้ จะยังไม่เข้าไปเทรด เขาเลือกจะจะรอช่วงจังหวะที่ดีในการเข้า โดยส่วนตัวของเบนชอบเทรด 2-3ครั้งต่อวัน
เบนยังพูดต่ออีกว่า “เมื่อคุณเทรดตามเทรนด์ อย่าคิดว่าคุณสามารถทำกำไรแบบเดิมซ้ำๆ ได้” เพราะว่าบางครั้งราคาเบรกเส้นแนวโน้ม แปลว่า แนวโน้มของราคาหุ้นในทิศทางนั้น อาจจะเปลี่ยนทิศทาง แต่ไม่การันตีว่าทิศทางของแนวโน้มราคาหุ้นจะต้องเปลี่ยน 100%
โดยส่วนตัวของเบนชอบทำกำไรแบบ Swing High
เปิดออร์เดอร์ Buy เมื่อมองเห็น Swing Low เปิดออร์เดอร์ Sell เมื่อมองเห็น Swing High รอจังหวะดีๆ เน้นคุณภาพ “การเทรดไปตามโมเมนตัมนั้นง่ายกว่าการเทรดสวนกระแส”
สรุปมุมมองการเทรด ในแบบของผมเอง
เบน เขามองว่าการเทรดตามเทรนด์น่าจะดีกว่าการสวนเทรนด์ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่า เทรนด์ในตอนนี้อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง เบนให้เราดูที่เส้น Moving Average โดยเขาจะใช้ค่า 20 หรือค่า 50 ในการวิเคราะห์ส่วนตัวผมมองว่า ใช้ EMA 20 จะให้ภาพรวมที่ดี
- หากราคาอยู่เหนือเส้น EMA 20 แสดงว่าตอนนี้ราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น เตรียมเปิดออเดอร์ Buy
- หากราคาอยู่ต่ำกว่าเส้น EMA 20 แสดงว่าตอนนี้ราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง เตรียมเปิดออเดอร์ Sell
แต่การใช้ EMA เพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอในการเทรด อาจจะต้องมีการใช้ Trend Line ช่วยในการตัดสินใจ และเขาบอกว่า การลากเส้น Trend Line ไม่มีกฏ (Rules) ที่ตายตัว ดังนั้น “การลากเส้น Trend Line จึงไม่มีวิธีที่ถูก และไม่มีวิธีที่ผิด” เบนบอกว่า “การเคลื่อนไหวของตลาดก็เหมือนกับการเด้งของยางรถ ดิ่งลงมาถึงพื้นก็ดีดตัวขึ้น” หากราฟราคาทรงตัวเป็น Sideways เขาจะยังไม่เข้าไปเทรด เขาเลือกจะจะรอช่วงจังหวะที่ดีในการเข้าออเดอร์
แต่ถ้าราคาได้มีการทะลุเส้น EMA ขึ้นไป ในตลาดที่เป็นขาลง เขาจะเขาจะเตรียมตัวในการเข้า Sell
แต่ถ้าราคาได้มีการทะลุเส้น EMA ลงมา ในตลาดที่เป็นขาขึ้น เขาจะเขาจะเตรียมตัวในการเข้า Buy
เราสามารถนำ Trend Line มาช่วยตัดสินใจในการปิดออเดอร์ หรือ ยืนยันออเดอร์ได้ จากตัวอย่างในรูปด้านล่าง ราคาได้ทะลุทั้งเส้น EMA20 และ Trend Line แนวต้าน ขึ้นมาได้ ดังนั้น อาจจะเป็นจุดที่บอกว่าเราควรขายออเดอร์ Sell ที่เราเก็บมาก่อนหน้านี้ก็เป็นได้
และที่สำคัญเราควรคำนึงถึง Reward/Risk ให้ดี ควรจะให้จุดเข้าของเรามีโอกาสทำกำไรได้กว่าจุด Stop Loss อย่างน้อยๆ ควรจะมากกว่า 1:1
Source
Author: