มีเงิน 5000 ลงทุนอะไรดี กับแนวทางการลงทุนที่ได้กำไรมหาศาล

เรื่องUhasAuthor

มีเงิน5000ลงทุนอะไรดี

มีเงิน 5000 ลงทุนอะไรดี ? บทความนี้มีคำตอบ

การลงทุน ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว ต้องมีเงินจำนวนมากถึงจะลงทุนได้ แต่รู้หรือไม่ว่าปัจจุบันมีสินทรัพย์ทางการเงินจำนวนมากให้เราเลือกลงทุน และใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูง มีเงินเพียง 5000 บาทก็ลงทุนได้! แถมได้รับผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ แต่มีเงิน 5000 จะลงทุนอะไรดี วันนี้เราจะมาแนะนำสินทรัพย์น่าสนใจ ที่มีเงินทุนน้อยก็สามารถลงทุนได้!

มีเงิน 5000 ลงทุนอะไรดีสินทรัพย์อะไรน่าสนใจ

1. คริปโตเคอร์เรนซี

คริปโตเคอร์เรนซี

การลงทุนอย่างแรกที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยเพราะมีกระแสร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง นั่นก็คือ คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) หรือสกุลเงินดิจิทัล ที่มีหลากหลายสกุลเงินให้เลือกลงทุน และมีการพัฒนาสกุลเงินใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเหรียญที่ได้รับความนิยม เช่น Bitcoin Tether Binance Coin เป็นต้น อย่างไรก็ตามการลงทุนกับเหรียญคริปโต มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง เพราะราคาเหรียญมีความผันผวนตลอดเวลา ผู้ลงทุนจึงต้องประเมินความเสี่ยงของตนเองก่อนลงทุนว่าสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน และศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับคริปโตให้เข้าใจ 

2. ทองคำ

ทองคำ

ทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามาอย่างยาวนาน และมีสภาพคล่องสูงเพราะหาซื้อง่ายและขายคล่อง รวมทั้งสามารถลงทุนได้อย่างหลากหลายวิธี เช่น 

  • การลงทุนทางตรงโดยการซื้อจากร้านค้ามาเก็บไว้ และขายเมื่อราคาทองคำสูงขึ้น
  • การลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในทองคำ ข้อดีคือเราไม่ต้องไปซื้อทองคำเอง เพราะกองทุนรวมจะมีผู้เชี่ยวชาญคอยบริหารจัดการเงินทุน และนำเงินไปลงทุนทองคำแทน แต่จะมีค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการ

อย่างไรก็ตามปัจจุบันทองคำก็เป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่มีความผันผวนตลอดเวลา ดังนั้นผู้ที่สนใจลงทุนทองคำ จึงต้องศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ และที่สำคัญเงินที่นำมาลงทุนควรเป็นเงินเย็น กล่าวคือ เป็นเงินที่เหลือจากการออม ไม่ต้องใช้ทำอะไร แม้จะเกิดเหตุฉุกเฉินก็มีเงินส่วนอื่นสำรองใช้ได้ ไม่รบกวนเงินส่วนนี้ 

3. หุ้น

หุ้น

การลงทุนอีกหนึ่งอย่างที่น่าสนใจ คือ หุ้น เป็นการลงทุนที่ผู้ลงทุนมีสถานะเป็น ผู้ถือหุ้น ในบริษัทที่เราเข้าไปซื้อหุ้น ซึ่งผลตอบแทนที่ได้จะมีลักษณะเป็น เงินปันผล โดยเงินปันผลนี้จะขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัท หากบริษัทสามารถทำกำไรได้สูง ก็จะทำให้เราได้ผลตอบแทนสูงตามไปด้วย แต่ความเสี่ยงก็มีมากเช่นกัน เพราะหากบริษัทขาดทุน หรือต้องการใช้เงินทุนเพื่อขยายกิจการ บริษัทอาจไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้มากสม่ำเสมอทุกครั้ง ดังนั้น ควรเลือกบริษัทที่มีฐานะทางการเงินแข็งแรง มีความสม่ำเสมอในการจ่ายเงินปันผล

4. กองทุนรวม

กองทุนรวม

กองทุนรวม เป็นอีกหนึ่งการลงทุนยอดนิยม ที่ใช้เงินเริ่มต้นไม่มาก สามารถเริ่มลงทุนครั้งแรกด้วยเงินเพียง 500 บาท ในขณะกองทุนต่างประเทศบางเจ้า ผู้ลงทุนสามารถเริ่มต้นเป็นเจ้าของได้เพียง 1 บาทเท่านั้น โดยจะมีผู้จัดการกองทุน (Fund Manager) ที่มีความเชี่ยวชาญมาช่วยดูแลเงินที่เราลงทุน ทำให้ผู้ลงทุนสบายใจ อีกทั้งกองทุนรวมยังมีผลิตภัณฑ์มากมายให้เราเลือกลงทุน ไม่ว่าจะเป็น ทองคำ ตราสารหนี้ หุ้นในประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญดูแล ผู้ลงทุนก็จำเป็นที่จะศึกษาข้อมูลก่อนลงทุน เพราะกองทุนมีหลายประเภท และมีความเสี่ยงแตกต่างกันออกไป การศึกษาข้อมูลให้เข้าใจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุนเอง

5. ตราสารหนี้

ตราสารหนี้

ตราสารหนี้ เป็นการลงทุนที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “การกู้ยืม” โดยผู้ลงทุนมีสถานะเป็น “เจ้าหนี้” ส่วนผู้ออกตราสารนี้จะมีสถานะเป็น “ลูกหนี้” ซึ่งปัจจุบันผู้ออกตราสารนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่

  • ภาครัฐ เป็นผู้ออกตราสารหนี้ภาครัฐ (Government Bond) เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ 
  • ภาคเอกชน เป็นผู้ออกตราสารหนี้ภาคเอกชน หรือที่เรียกกันว่า หุ้นกู้เอกชน (Corporate Bond) ออกโดยบริษัทเอกชนเพื่อระดมทุนสำหรับใช้ในโอกาสต่าง ๆ ของบริษัท 

สิ่งที่ผู้ลงทุนจะได้รับจากการลงทุนตราสารหนี้ คือ ดอกเบี้ยเฉลี่ยประมาณ 2-5% จะเห็นได้ว่าเป็นตัวเลขที่มากกว่าดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินฝาก และจะได้รับเงินต้นคืน เมื่อครบกำหนดระยะเวลา ซึ่งจะมีตั้งแต่น้อยกว่าหนึ่งปีหรือมากกว่าหนึ่งปี 

หากจะพูดถึงความเสี่ยง การลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยภาครัฐย่อมมีความเสี่ยงต่ำกว่าตราสารหนี้ที่ออกโดยภาคเอกชน ดังนั้นผู้ที่สนใจลงทุนในหุ้นกู้เอกชนจึงต้องพิจารณาความมั่นคงของบริษัทเอกชนต่าง ๆ ก่อนจะเลือกลงทุน

6. ตราสารอนุพันธ์

ตราสารอนุพันธ์

ตราสารอนุพันธ์ เป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูง เป็นสินทรัพย์ที่มูลค่าของตราสารจะขึ้นอยู่กับสินค้าอ้างอิง (Underlying Asset) ซึ่งเป็นได้ทั้ง หุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ โดยลักษณะของตราสารอนุพันธ์จะเป็นการทำสัญญาซื้อขายสินค้าอ้างอิงล่วงหน้า โดยกำหนดจำนวนหน่วยและราคา ณ วันทำสัญญา แล้วส่งมอบและชำระราคาในอนาคตตามราคาที่ตกลงกันไว้ แม้ในตอนนั้นราคาสินค้าจะสูงขึ้น หรือต่ำลงก็ตาม โดยตราสารอนุพันธ์จะซื้อขายกันผ่านตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ TFEX 

ข้อดีของตราสารอนุพันธ์คือ ใช้เงินลงทุนน้อย สามารถวางเงินประกันเพียง 10-15% ของมูลค่าสัญญา และลดความเสี่ยงต่อราคาของสินค้าหรือวัตถุดิบที่ตนเองต้องการในอนาคต 

7. เงินฝาก

เงินฝาก

มาถึงการลงทุนประเภทสุดท้าย ที่สามารถทำได้ง่าย และได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ นั่นก็คือ การลงทุนกับ เงินฝาก หรือเรียกง่าย ๆ ว่า การออมเงินกับธนาคารนั่นเอง เป็นการลงทุนที่ผู้ลงทุนแน่ใจว่าจะได้รับผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ปี หรือทุก ๆ เดือน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของธนาคาร โดยการฝากเงิน แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

  • เงินฝากประจำ เป็นการฝากเงินที่มีกำหนดระยะเวลาในการฝากแน่ชัด เช่น 3 เดือน 6 เดือน 12 เดือน และจะได้รับดอกเบี้ยเมื่อครบระยะเวลาที่กำหนด และถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับ แต่หากผู้ลงทุนต้องการถอนเงินออกมาก่อนกำหนดอาจจะไม่ได้รับดอกเบี้ยได้ ดังนั้นเงินฝากประจำจึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออมเงินระยะยาว มีรายได้ประจำที่แน่นอน และมีเงินสำรองจ่ายเวลาฉุกเฉิน
  • เงินฝากออมทรัพย์ เป็นการลงทุนที่มีสภาพคล่องสูง เหมาะสำหรับนักออมเงินมือใหม่ หรือมนุษย์เงินเดือน เพราะสามารถเริ่มต้นฝากได้ด้วยเงินจำนวนที่ไม่สูง สามารถฝาก – ถอนได้ตลอดเวลาที่ต้องการ โดยผลตอบรับจะเป็นดอกเบี้ยเงินฝากซึ่งมีอัตราแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขของธนาคาร

เป็นอย่างไรบ้างกับสินทรัพย์น่าลงทุนที่เรานำมาฝาก คงสามารถตอบคำถามของคนที่ยังลังเล และสงสัยว่ามีงบน้อยจะสามารถลงทุนได้จริงหรือไม่ เพราะสินทรัพย์ที่เราแนะนำสามารถเริ่มลงทุนได้ด้วยต้นทุนที่ไม่สูงมาก อย่างไรก็ตามแต่ละสินทรัพย์ก็มีเงื่อนไข และความเสี่ยงแตกต่างกันไป ผู้ลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์ที่ตนเองสนใจ ก่อนจะเริ่มต้นลงทุน โดย Uhas มีบทความดี ๆ เกี่ยวกับการลงทุนอัปเดตอยู่เสมอ เพื่อให้คุณได้ศึกษาและพัฒนาความรู้ พร้อมลงสนามการลงทุนอย่างแข็งแกร่ง!