เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคมีหลากหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นที่นักเทรดมืออาชีพนิยมใช้คือ Shark Pattern คือรูปแบบกราฟที่มีลักษณะคล้ายฉลาม ซึ่งช่วยให้นักลงทุนมองเห็นโอกาสในการทำกำไรได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
Shark Pattern คืออะไร
Shark Pattern คือรูปแบบกราฟที่เป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎี Harmonic Pattern ที่ใช้อัตราส่วน Fibonacci ในการวิเคราะห์จุดกลับตัวของราคา โดย Shark Pattern คือแพทเทิร์นที่มีลักษณะพิเศษคือมีการดีดตัวของราคาที่เลยจุดสูงสุดเดิม และมีการพักตัวที่เป็นสัดส่วนเฉพาะตามทฤษฎี ทำให้สามารถคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคตได้แม่นยำมากขึ้น
รูปแบบของ Shark Pattern ในการเทรด
สำหรับผู้เริ่มต้น Shark Pattern คือรูปแบบที่แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้
Bullish Shark Pattern
- เริ่มต้นจากจุด O ไปยังจุด X ที่สูงกว่า
- ราคามีการพักตัวที่จุด A ประมาณ 32-50% ของระยะ OX
- จุด B เกิดขึ้นที่ระดับ 113-161.8% ของระยะ XA
- จุด C ซึ่งเป็นจุดสำคัญจะอยู่ที่ระดับ 161.8-224% ของระยะ AB
Bearish Shark Pattern
- เริ่มจากจุด O ลงไปยังจุด X ที่ต่ำกว่า
- การพักตัวที่จุด A อยู่ที่ระดับ 32-50% ของระยะ OX
- จุด B เกิดที่ระดับ 113-161.8% จากระยะ XA
- จุด C จะอยู่ที่ระดับ 161.8-224% ของระยะ AB
วิธีหารูปแบบ Shark Pattern เพื่อใช้เทรด
การระบุ Shark Pattern ที่ถูกต้องต้องพิจารณาองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้
- ตรวจสอบจุดกลับตัวหลัก (O, X, A, B, C) : เริ่มจากการระบุจุดเริ่มต้น O ไปยังจุดสูงสุดหรือต่ำสุด X จากนั้นดูการพักตัวที่จุด A และการดีดตัวที่จุด B ก่อนจะไปถึงจุด C ที่เป็นจุดสำคัญ ซึ่งต้องสอดคล้องกับอัตราส่วน Fibonacci ที่กำหนด Shark Pattern คือรูปแบบที่ต้องมีจุดครบถ้วนทั้ง 5 จุด
- วัดระยะและอัตราส่วนระหว่างจุดต่าง ๆ ด้วย Fibonacci : ใช้เครื่องมือ Fibonacci Retracement เพื่อวัดระยะห่างระหว่างจุดต่างๆ โดยต้องตรงตามอัตราส่วนที่กำหนด เช่น ระยะ XA ต้องอยู่ที่ 32-50% ของ OX และระยะ BC ต้องอยู่ที่ 161.8-224% ของ AB เพื่อยืนยันความถูกต้องของแพทเทิร์น
- ยืนยันแนวโน้มด้วยเครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ : นำ Indicator อื่น ๆ มาประกอบการวิเคราะห์ เช่น RSI เพื่อดูภาวะ Overbought/Oversold, MACD เพื่อดูโมเมนตัมของราคา และ Volume เพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือของการเคลื่อนไหว Shark Pattern คือเครื่องมือที่ควรใช้ร่วมกับตัวชี้วัดอื่นเสมอ
- รอสัญญาณยืนยันจากแท่งเทียนหรือโมเมนตัม: สังเกตรูปแบบแท่งเทียนที่บ่งบอกการกลับตัว เช่น Hammer, Shooting Star หรือ Engulfing Pattern ร่วมกับการดูปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นในทิศทางที่คาดการณ์ เพื่อเพิ่มความมั่นใจก่อนเข้าเทรด
การเทรดด้วย Shark Pattern มีข้อดีอย่างไร
Shark Pattern คือเครื่องมือทางเทคนิคที่มีประสิทธิภาพสูง มาดูข้อดีที่สำคัญกันในการใช้เทรดดีกว่า
- มีจุดเข้า-ออกที่ชัดเจนตามทฤษฎี
- สามารถกำหนดจุด Stop Loss และ Take Profit ได้แม่นยำ
- มีการคำนวณระดับราคาที่เป็นระบบตามอัตราส่วน Fibonacci
- ลดการตัดสินใจโดยใช้อารมณ์หรือความรู้สึก
- อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่ดี
- โดยเฉลี่ยมีอัตราความสำเร็จประมาณ 65%
- สามารถกำหนดเป้าหมายกำไรที่มากกว่าความเสี่ยง 2-3 เท่า
- เหมาะกับการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
- สามารถใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นได้
- เสริมประสิทธิภาพด้วยการใช้ร่วมกับ RSI หรือ MACD
- ยืนยันสัญญาณด้วยแท่งเทียนรูปแบบต่าง ๆ
- วิเคราะห์ร่วมกับแนวรับแนวต้านเพื่อเพิ่มความแม่นยำ
- เหมาะกับการเทรดทั้งระยะสั้นและระยะกลาง
- ใช้ได้กับทุกกรอบเวลา ตั้งแต่ H1 ขึ้นไป
- สามารถปรับใช้กับหลายคู่เงินและสินทรัพย์
- มีความยืดหยุ่นในการประยุกต์ใช้
สิ่งที่ต้องระวังเมื่อใช้ Shark Pattern
การเทรดด้วย Shark Pattern แม้จะมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีข้อควรระวังที่สำคัญ ดังนี้
ต้องรอให้รูปแบบสมบูรณ์
เป็นหลักการสำคัญที่ต้องยึดถือ คือต้องไม่เร่งเข้าเทรดก่อนที่รูปแบบจะครบสมบูรณ์ ต้องแน่ใจว่าอัตราส่วนทุกจุดตรงตามทฤษฎี และรอสัญญาณยืนยันจากแท่งเทียนก่อนเข้าเทรดทุกครั้ง
วิเคราะห์ร่วมกับปัจจัยพื้นฐาน
ไม่ควรใช้เพียง Shark Pattern อย่างเดียว แต่ต้องติดตามข่าวสารและปัจจัยที่อาจส่งผลต่อราคา หลีกเลี่ยงการเข้าเทรดในช่วงประกาศข่าวสำคัญ และพิจารณาสภาพตลาดโดยรวมประกอบการตัดสินใจ
จัดการความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ
การบริหารความเสี่ยงที่ดีคือกุญแจสู่ความสำเร็จ ควรจำกัดขนาดการเทรดไม่เกิน 1-2% ของพอร์ต วางแผน Risk-Reward Ratio อย่างเหมาะสม และมีระบบการจัดการเงินทุนที่เป็นระเบียบ
หลีกเลี่ยงช่วงตลาดผันผวน
ระมัดระวังเป็นพิเศษในช่วงที่มี Gap หรือราคากระโดดผิดปกติ หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงสภาพคล่องต่ำ และควรรอให้ตลาดมีทิศทางที่ชัดเจนก่อนเข้าเทรด
ระวังผลกระทบจากข่าวสำคัญ
ข่าวเศรษฐกิจมักทำให้รูปแบบผิดเพี้ยนได้ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในช่วงประกาศดอกเบี้ย และควรหยุดเทรดในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง
เพราะการลงทุน Forex ด้วย Shark Pattern ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง แม้จะมีความแม่นยำ 65% แต่ผู้เริ่มต้นควรเข้า คอร์สสอนเทรดทอง เพื่อเรียนรู้พื้นฐาน และฝึกฝนในบัญชีทดลองก่อน เมื่อมีความชำนาญ จึงค่อยเริ่มเทรดจริงผ่านโบรกเกอร์ Exness โดยยึดหลักการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมเป็นสำคัญ เพียงเท่านี้ ก็จะทำกำไรได้อย่างยั่งยืน
Author: