เจาะลึกหุ้นเติบโต กับ หุ้นคุณค่า เลือกลงทุนแบบไหนดี

เรื่องUhasAuthor

เจาะลึกหุ้นเติบโตกับหุ้นคุณค่า เลือกลงทุนแบบไหนดี

การลงทุนในหุ้นถือเป็นการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจ แต่ทั้งนี้การเลือกหุ้นที่ใช่ก็เป็นเรื่องที่ต้องตัดสินใจให้รอบคอบและเหมาะสมกับสไตล์ของเรามากที่สุด ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับหุ้นเติบโต (Growth Stock) และหุ้นคุณค่า (Value Stock) ว่าหุ้นทั้งสองตัวนี้มีลักษณะอย่างไร รวมถึงมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง เพื่อช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าการลงทุนแบบไหนเหมาะสมกับคุณที่สุด

หุ้นเติบโต คืออะไร

หุ้นเติบโต คือหุ้นของบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตเฉลี่ยที่สูงกว่าตลาด และมักจะเป็นบริษัทที่มีการขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงในระยะยาว อย่างไรก็ตาม หุ้นเติบโตมักมีราคาสูงเมื่อเทียบกับกำไร (P/E Ratio สูง) ซึ่งทำให้มีความผันผวนสูงและมีความเสี่ยงที่ราคาหุ้นจะลดลงหากบริษัทไม่สามารถรักษาอัตราการเติบโตได้ตามคาด รวมถึงบริษัทเหล่านี้มักจะเน้นนำกำไรกลับมาลงทุนเพื่อขยายธุรกิจมากกว่าการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น

 

หุ้นคุณค่า คืออะไร

หุ้นคุณค่า คือหุ้นของบริษัทที่มีราคาถูกกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ซึ่งมักจะเป็นบริษัทที่มีธุรกิจมั่นคง ผลประกอบการดี และจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ทำให้มีความเสี่ยงในการลงทุนต่ำกว่าหุ้นเติบโต นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีเมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอีกด้วย

หุ้นเติบโต หุ้นคุณค่า แตกต่างกันอย่างไร

หุ้นเติบโต หุ้นคุณค่า แตกต่างกันอย่างไร

หุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่า เป็นหุ้นที่นักลงทุนมักจะนำมาเปรียบเทียบกันอยู่เสมอ เนื่องด้วยหุ้นทั้งสองประเภทนั้นจะมีลักษณะและความเสี่ยงที่แตกต่างกันออกไป

มูลค่าหุ้น

หุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่า ถึงแม้จะเป็นการลงทุนในหุ้นเหมือนกัน แต่ก็มีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะ มูลค่าหุ้น ที่สะท้อนให้เห็นถึง ศักยภาพและอนาคตของบริษัทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

  • มูลค่าหุ้นเติบโต : จะมีมูลค่าที่สูงกว่าเมื่อพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัท เช่น กำไรสุทธิ สินทรัพย์ หรือกระแสเงินสด ทำให้นักลงทุนคาดหวังว่าบริษัทเหล่านี้จะมีการเติบโตของกำไรและรายได้ในอนาคตที่สูง จึงยินดีจ่ายราคาที่สูงกว่าเพื่อเป็นเจ้าของหุ้น
  • มูลค่าหุ้นคุณค่า : จะมีมูลค่าที่ต่ำกว่าพื้นฐานเมื่อพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ซึ่งอาจเกิดจากการที่บริษัทกำลังประสบปัญหาชั่วคราว ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกไปในราคาที่ต่ำ

ผลการดำเนินงาน

หุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่า นอกจากจะมีลักษณะพื้นฐานที่แตกต่างกันแล้ว ก็ยังมีผลการดำเนินงานที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ รวมถึงความผันผวนอยู่ด้วยที่ทำให้แตกต่างกันออกไป ดังนี้

ผลการดำเนินงานของหุ้นเติบโต

หุ้นเติบโต มักจะมีศักยภาพในการทำกำไรและรายได้ที่สูงมากกว่าหุ้นประเภทอื่น ทำให้นักลงทุนต่างพากันคาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนที่สูงตามไปด้วย ซึ่งก็จะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะราคาหุ้นมักจะผันผวนตามความคาดหวังของนักลงทุน หากบริษัทไม่สามารถทำตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ก็จะส่งผลให้ราคาหุ้นอาจจะตกอย่างรวดเร็ว

ผลการดำเนินงานของหุ้นคุณค่า

หุ้นคุณค่า มักมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า เนื่องจากเป็นหุ้นของบริษัทที่มีฐานะทางการเงินมั่นคง จึงทำให้สามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย และแม้ว่าผลตอบแทนจากราคาหุ้นอาจจะไม่สูงเหมือนหุ้นเติบโตก็ตาม แต่ก็เป็นหุ้นที่มอบความมั่นคงให้กับผู้ที่ตัดสินใจลงทุนได้เป็นอย่างดี

เงินปันผล

หุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่านั้นมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงเป้าหมายและกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนดังนี้

  • หุ้นเติบโต : เน้นการลงทุนเพื่อเติบโต โดยบริษัทที่ออกหุ้นเติบโตนั้น มักจะนำกำไรส่วนใหญ่ไปลงทุนในโครงการใหม่ ๆ เพื่อผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้มีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่ต่ำหรืออาจไม่มีการจ่ายเงินปันผลเลย
  • หุ้นคุณค่า : เน้นความมั่นคงและผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ โดยบริษัทที่ออกหุ้นคุณค่ามักจะมีผลประกอบการที่มั่นคง และมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง จึงสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง 

ความผันผวน 

หุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่าจะมีความผันผวนของราคาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งเป็นผลมาจากลักษณะและปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นที่แตกต่างกันดังนี้

  • หุ้นเติบโต : มักจะมีความผันผวนของราคาสูงกว่าหุ้นคุณค่า เนื่องจากราคาของหุ้นเติบโตนั้นจะขึ้นอยู่กับการคาดการณ์การเติบโตในอนาคตเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีหรือการเกิดขึ้นของคู่แข่งรายใหม่ หรือผลประกอบการของบริษัทไม่เป็นไปตามคาด จึงทำให้ราคาหุ้นในตลาดอาจจะมีการปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว
  • หุ้นคุณค่า : มักจะมีความผันผวนของราคาที่น้อยกว่า เนื่องจากเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการที่มั่นคง และมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง แต่ทั้งนี้ก็ยังมีปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจโดยรวมและการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยที่อาจจะมีผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มหุ้นคุณค่าได้

หุ้นแต่ละประเภทเหมาะกับใคร

หุ้นแต่ละประเภทเหมาะกับใคร

การเลือกลงทุนระหว่างหุ้นเติบโตกับหุ้นคุณค่านั้น จะขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนและความเสี่ยงที่นักลงทุนแต่ละคนยอมรับได้เป็นหลัก ซึ่งในส่วนของการพิจารณาว่าหุ้นแต่ละประเภทจะเหมาะกับใครบ้างนั้นมีเรื่องที่ต้องคำนึงถึงก่อนตัดสินใจดังนี้

  • หุ้นเติบโต : หากคุณมองหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงในระยะยาว และไม่กลัวความผันผวนของตลาด หุ้นเติบโตก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะหุ้นเติบโตมักจะอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เช่น เทคโนโลยี พลังงานสะอาด หากคุณสนใจเทคโนโลยีเหล่านี้ การลงทุนในหุ้นเติบโตอาจตอบโจทย์คุณได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าหุ้นเติบโตมีความผันผวนที่สูงกว่าหุ้นคุณค่า ดังนั้นจึงเหมาะกับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงสูงได้และมีระยะเวลาในการลงทุนที่ยาวนาน
  • หุ้นคุณค่า : หากคุณต้องการการลงทุนที่มั่นคงและได้รับเงินปันผลสม่ำเสมอ หุ้นคุณค่าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ไม่ต้องการความผันผวนที่สูงมาก เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงในการลงทุนและได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

สรุป

ทั้งหุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่าต่างก็มีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกันออกไป การจะเลือกลงทุนในหุ้นประเภทไหนจึงขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนและความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล หากคุณต้องการผลตอบแทนที่สูงและพร้อมจะรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ หุ้นเติบโตก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ 

แต่ถ้าหากคุณต้องการความมั่นคงและผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ หุ้นคุณค่าก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณมากกว่า สุดท้ายนี้ทางเราก็มีคอร์สสอนเทรดทองคำที่จะมีเทคนิคเทรดทองคำมากมาย ที่จะช่วยสร้างเม็ดเงินให้กับคุณได้ ศึกษาความรู้และเทคนิคต่าง ๆ ก่อนการเทรด สร้างโอกาสในการทำกำไรได้มากขึ้นแน่นอน