ค่าเงินแข็ง-อ่อนคืออะไร

เรื่องUhasAuthor

ค่าเงินแข็ง-อ่อนคืออะไร

สำหรับมือใหม่หัดเทรด Forex ที่กำลังมองหาช่องทางการลงทุนในด้านสกุลเงิน การเรียนรู้ถึง “ค่าเงิน” เป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะต้องเรียนรู้ โดย 2 คำศัพท์ที่คุณสามารถพบได้บ่อย ๆ ในการลงทุนคือ “ค่าเงินอ่อน” และ “ค่าเงินแข็ง” สำหรับ 2 คำนี้คือสิ่งที่คุณจะต้องเข้าใจความหมายอย่างแตกฉาน หากคุณอยากเป็นนักลงทุนที่ดี โดยในบทความนี้จะเป็นการแนะนำให้คุณได้เข้าใจถึงกลไกของค่าเงิน ค่าเงินอ่อน ค่าเงินแข็งเกิดจากอะไร ? หาคำตอบไปพร้อม ๆ กันได้ในบทความนี้

 

ค่าเงินแข็ง

 

สารบัญ

ความหมายของค่าเงินแข็งอ่อนคืออะไร

ก่อนอื่นเลยเราต้องเข้าใจเสียก่อนว่าค่าเงินอ่อน และค่าเงินแข็ง คืออะไร ? คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมแต่ละประเทศถึงต้องมีค่าเงินเป็นของตนเอง ทำไมถึงไม่ใช้ค่าเงินที่เหมือน ๆ กันทั่วทั้งโลก จะได้ไม่ต้องคอยแลกเงินทุกครั้งที่ท่องเที่ยวในต่างแดน คำตอบนั่นก็คือค่าเงินเป็น “ตัวถ่วงสมดุลทางเศรษฐกิจ” ช่วยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกลไกทางการตลาด

เพราะว่าแต่ละประเทศนั้นมีการจัดการที่แตกต่างกัน เงินเฟ้อมาก เงินเฟ้อน้อย สถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศ และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งนั่นทำให้ประเทศที่มีความมั่นคงจะถูกมองว่าค่าเงินสูงกว่า ยกตัวอย่างเช่น

ค่าเงินไทย ( บาท ) เมื่อเทียบกับ ค่าเงินของสหรัฐอเมริกา ( ดอลลาร์สหรัฐ ) นั่นเอง ซึ่งค่าเงินจะขยับมูลค่าอยู่ตลอด ซึ่งการปรับมูลค่าของค่าเงินสกุลนั้น ๆ จะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบคือ ค่าเงินอ่อน และค่าเงินแข็ง

ค่าเงินแข็ง คืออะไร

ค่าเงินแข็งจะเกิดขึ้นเมื่อค่าเงินสกุลนั้น ๆ มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นค่าเงินบาท เทียบกับค่าเงินเยน หากในอดีตเคยแลกเปลี่ยนด้วยอัตรา 10 บาท = 35 เยน ปัจจุบันสามารถแลกเปลี่ยนด้วยอัตรา 10 บาท = 32 เยน เป็นต้น

ค่าเงินอ่อน คืออะไร

ค่าเงินอ่อนเกิดขึ้นเมื่อค่าเงินสกุลนั้น ๆ มีมูลค่าที่ถดถอยลง ยกตัวอย่างเช่นค่าเงินบาทเทียบกับค่าเงินเยน หากในอดีตเคยแลกเปลี่ยนด้วยอัตรา 10 บาท = 35 เยน ปัจจุบันสามารถแลกเปลี่ยนด้วยอัตรา 10 บาท = 38 เยน เป็นต้น

ค่าเงินแข็งและค่าเงินอ่อนเกิดขึ้นได้อย่างไร

สิ่งที่จะกำหนดว่าในช่วงเวลานั้นค่าเงินจะแข็ง หรือค่าเงินจะอ่อนก็คือ “กลไกการตลาด” ยิ่งค่าเงินไหนที่มีความต้องการซื้อสูงก็จะทำให้เกิดภาวะค่าเงินแข็งขึ้นเรื่อย ๆ กลับกันหากค่าเงินสกุลไหนที่มีความต้องการขายเพิ่มมากขึ้นก็จะทำให้เกิดภาวะค่าเงินอ่อนขึ้นนั่นเอง รวมไปถึงสถานการณ์อื่น ๆ ภายในประเทศนั้น ๆ เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่นหากประเทศไหนที่มีสงคราม หรือสถานการณ์บ้านเมืองไม่สงบ ค่าเงินก็จะอ่อนลง กลับกันหากประเทศไหนที่มีความมั่นคงสูง บ้านเมืองสงบ เศรษฐกิจภายในประเทศไปได้ดี ก็จะมีค่าเงินที่แข็งขึ้น

มีผลกระทบอย่างไรต่อนักลงทุน

สำหรับการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินจะส่งผลกระทบโดยตรงกับนักลงทุนไม่มากก็น้อย ขึ้นอยู่กับว่าคุณถือสกุลเงินที่มีแข็งหรืออ่อนในเวลานั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น

  • เมื่อค่าเงินแข็ง ถ้าคุณถือเงินสกุลนั้น ๆ อยู่ การแลกเปลี่ยนจะทำให้คุณได้ผลกำไรที่ลดลง จนอาจเรียกว่าขาดทุนก็เป็นได้ แต่หากคุณต้องการซื้อ คุณสามารถซื้อเงินสกุลนั้น ๆ ด้วยราคาที่ถูกลง
  • เมื่อค่าเงินอ่อน ถ้าคุณถือเงินสกุลนั้น ๆ อยู่ การแลกเปลี่ยนจะทำให้คุณได้ผลกำไรที่เพิ่มมากขึ้น แต่กลับกันหากคุณต้องการซื้อ คุณต้องซื้อด้วยราคาที่สูงขึ้นเช่นเดียวกัน

ความต้องการซื้อขายเกี่ยวกับค่าเงินอ่อน ค่าเงินแข็งอย่างไร

ความต้องการซื้อ-ขาย เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่าเงินอ่อน หรือแข็ง เพราะว่าด้วยกลไกการตลาดที่ทำให้ค่าเงินเป็นตัวแปรที่ใช้ “รักษาเสถียรภาพทางการเงิน” หากในช่วงเวลานั้น ๆ ประเทศของสกุลเงินที่คุณลงทุนเกิดสถานการณ์เงินเฟ้อเกิดขึ้น ทำให้เกิดการเทขายเงินสกุลนั้น ๆ ค่าเงินก็จะอ่อนลง และเมื่อค่าเงินอ่อนลงมา ก็ทำให้นักลงทุนหันมาซื้อค่าเงินสกุลนี้ เมื่อความต้องการซื้อสูงมากก็จะทำให้ค่าเงินดีดตัวกลับมาแข็งอีกครั้ง ซึ่งนั่นทำให้เราสรุปได้เลยว่า “ความต้องการซื้อสูง = ค่าเงินสูงขึ้น” และ “ความต้องการขายสูงขึ้น = ค่าเงินอ่อนลง”

ปัจจัยของความต้องการซื้อ

นโยบายทางการเงินของประเทศ หากประเทศนั้น ๆ มีนโยบายทางการเงินที่ดี รัฐบาลมีการดูแลจัดการได้ดี ก็จะมีผู้ซื้อสนใจมากขึ้น

การค้าและการส่งออก ประเทศไทยที่มีการส่งออกสินค้าอยู่เสมอ มีการเติบโตของธุรกิจระหว่างประเทศ สกุลเงินของประเทศนั้น ๆ ก็จะมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น

ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความสงบของประเทศ หากเกิดการสู้รบภายใน หรือระหว่างประเทศ ก็จะทำให้ความต้องการถดถอยลงไป

ค่าเงินอ่อน

หากคุณอยากเป็นนักลงทุนที่ดี คุณควรเข้าใจกลไกการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินอ่อน และค่าเงินแข็งเสียก่อน เพราะว่าทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง การเข้าใจรูปแบบการลงทุนให้มากที่สุดก็จะช่วยลดความเสี่ยงได้มาก รวมไปถึงการเข้าใจกลไกการตลาดทำให้คุณสามารถซื้อ และขายในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะมากที่สุด ซึ่งนั่นหมายความว่าการลงทุนอย่างชาญฉลาด จะช่วยทำให้ผลกำไรของคุณงอกเงยขึ้นมาได้อย่างที่ต้องการนั่นเอง