ทำความรู้จักกับ ETF คืออะไร

เรื่องUhasAuthor

ทำความรู้จักกับ ETF คืออะไร - uhas

ถ้าหากใครกำลังมองหาสินทรัพย์ ขอแนะนำให้ตามไปทำความรู้จักกับสินทรัพย์ที่มีความน่าสนใจ ทางเลือกการลงทุนที่อยากจะแนะนำให้ทุกท่านนำเอามาลงทุนควบคู่ไปกับหุ้นในพอร์ตของตัวเอง ซึ่งผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่อยากจะแนะนำให้รู้จัก และกำลังเอ่ยถึง ก็คือ ETF แล้ว ETF คือ อะไร แตกต่างจากการลงทุนในแบบอื่น ๆ อย่างไร มาหาคำตอบกันได้ในบทความนี้กันได้เลย

ETF คืออะไร

ETF คือ กองทุนรวมดัชนี เป็นกองทุนที่ได้มีการจัดกลุ่มหุ้นหลาย ๆ ตัว ที่มีดัชนีที่ใกล้เคียงกัน มาจัดรวมกันเพื่อที่ผู้ลงทุนจะสามารถซื้อกองทุนตามชนิดต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยมากกองทุนก็มักมีหลายหุ้นอยู่รวมกัน ทั้งนี้นับว่าเป็นการลงทุนที่สามารถช่วยกระจายความเสี่ยงได้เป็นอย่างดีกว่าการซื้อหุ้นตัวเดียวโดด ๆ อยู่แล้ว ในส่วนของฟังก์ชันก็มีการทำงานคล้าย ๆ หุ้นเช่นกัน ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่เหมาะสำหรับทุกคนเป็นอย่างมาก

ETF คืออะไร - uhas

ข้อดีของ ETF 

  • มีค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) ต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไป
  • สามารถติดตามราคาและการเคลื่อนไหวของพอร์ตการลงทุนได้แบบ real-time
  • ซื้อขายได้ง่ายเหมือนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และสามารถรู้ราคาซื้อขายได้ทันที
  • สามารถทำธุรกรรมพิเศษได้เหมือนหุ้น มีความยืดหยุ่นในการทำธุรกรรม
  • สามารถลงทุนในหลายสินทรัพย์ได้ในคราวเดียว ช่วยลดความเสี่ยงได้ดีมาก ๆ

ข้อเสียของ ETF

  • ราคาซื้อขาย ETF อาจเบี่ยงเบนจากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ได้ในระหว่างวัน
  • มีค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายเหมือนหุ้น และต้องจ่ายส่วนต่างราคาเสนอซื้อ-ขาย
  • เป็นการลงทุนแบบ Passive ทำให้ไม่สามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้
  • ผลตอบแทนจะถูกจำกัดตามดัชนีที่อ้างอิง ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีได้
  • ผลตอบแทนของ ETF กับดัชนีอ้างอิงอาจเกิดความคลาดเคลื่อน

ข้อแตกต่างของ ETF กับกองทุนรวมมีอะไรบ้าง

  • การซื้อขาย : ETF สามารถซื้อขายได้ตลอดเวลาในช่วงตลาดเปิดเหมือนหุ้น และราคาเปลี่ยนแปลงตามอุปสงค์-อุปทานในตลาด ขณะที่กองทุนรวมจะซื้อขายตามเวลาที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกำหนด โดยใช้ราคา NAV ณ สิ้นวัน
  • ค่าธรรมเนียม : ETF มักมีค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) ต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไป เนื่องจากเป็นการลงทุนแบบ Passive ที่ติดตามดัชนีอ้างอิง ไม่ต้องมีผู้จัดการกองทุนมาบริหารแบบ Active
  • กลยุทธ์การลงทุน : ETF ส่วนใหญ่ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Passive โดยสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง ส่วนกองทุนรวมส่วนใหญ่ใช้กลยุทธ์แบบ Active เพื่อพยายามสร้างผลตอบแทนให้สูงกว่าดัชนีอ้างอิง
  • สภาพคล่อง : ETF มีสภาพคล่องสูงกว่าเพราะสามารถซื้อขายได้ทันทีในตลาดหลักทรัพย์ ขณะที่กองทุนรวมต้องรอการไถ่ถอนตามรอบที่บริษัทจัดการกำหนด ซึ่งอาจใช้เวลา 2-3 วันทำการ
  • การกระจายความเสี่ยง : ทั้ง ETF และกองทุนรวมมีการกระจายความเสี่ยงในตัว แต่ ETF มักจะมีการกระจายการลงทุนตามดัชนีอ้างอิงอย่างเคร่งครัด ขณะที่กองทุนรวมอาจมีการปรับพอร์ตตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
  • ความเสี่ยง : ทั้ง ETF และกองทุนรวมมีระดับความเสี่ยงแตกต่างกันตั้งแต่ต่ำถึงสูง ขึ้นอยู่กับประเภทสินทรัพย์ที่ลงทุน เช่น ตราสารหนี้มีความเสี่ยงต่ำ หุ้นมีความเสี่ยงสูง แต่ ETF อาจมีความเสี่ยงเพิ่มเติมจากการซื้อขายระหว่างวันและการเบี่ยงเบนจากดัชนีอ้างอิง (Tracking Error)

ETF เหมาะกับใคร

  • นักลงทุนที่มีทุนน้อย : กองทุน ETF จะกระจายความเสี่ยงได้ดี เพราะลงทุนหุ้นหลายตัว ดังนั้นนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้นมีทุนไม่มากที่จะกระจายความเสี่ยงด้วยตัวของตัวเอง ก็ต้องเลือก ETF ที่ลงทุนโดยอ้างอิงกับดัชนีต่าง ๆ
  • นักลงทุนน้องใหม่ : การลงทุน ETF มีความเหมาะสมสำหรับนักลงทุนน้องใหม่ ที่อยากจะลองเข้ามาสัมผัสการลงทุนหุ้น ต้องเริ่มต้นด้วย ETF ก่อน เพราะมีความเสี่ยงต่ำ แถมทำให้ทราบถึงวิธีการขาย การตลาด วิธีคัดเลือกสินทรัพย์ เป็นต้น
  • นักลงทุนที่อยากลงทุนระยะยาว : หากกำลังมองหาการลงทุนระยะยาว ETF ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ นอกจากกระจายความเสี่ยงแล้ว ก็จะมีการจ่ายปันผลให้อีกด้วย

สรุปบทความ

สำหรับการลงทุน ETF แม้จะมีการกระจายความเสี่ยงในตัวของมันเองแล้ว ยังไงนักลงทุนก็จะต้องพิจารณาเลือกกองทุน ETF อยู่ดี ซึ่งการเลือกก็จะคล้ายคลึงกับการเลือกลงทุนในหุ้น แต่ที่สำคัญต้องเลือก ETF ให้มีความเหมาะสมกับความเสี่ยงที่ตัวของนักลงทุนเองสามารถยอมรับได้