หาจุดเข้า Forex จุดออก Forex ดีๆ ทำกำไรได้สูงสุด เทรด Forex ต้องใช้จุดเข้าและจุดออก(Entry and Exit Points) ที่ดี
หาจุดเข้า Forex จุดออก Forex ดีๆ ทำกำไรได้สูงสุด
1. ถาม : ทำไมต้องหาจุดเข้าจุดออก?
ตอบ : เพื่อทำให้การเทรดครั้งนั้นทำกำไรได้มากที่สุด
2. ถาม : จุดเข้า ดูยังไง?
ตอบ : ดูจากจังหวะที่อินดิเคเตอร์ทุกตัวบอกสัญญาณไปในทิศทางเดียวกัน สัญญาณจากแต่ละตัวควรบอกทั้งทิศทางและช่วงเวลาในการเข้าซื้อที่ตรงกัน
3. ถาม : วางจุดออกไว้ตอนไหนดี?
ตอบ : วางจุดออกไว้ก่อนที่จะเริ่มเทรดในแต่ละครั้ง
4. ถาม : จุดออก ใช้เครื่องมืออะไร?
ตอบ : ใช้ Stop loss(จุดหยุดขาดทุน) และ Take profit(จุดทำกำไร)
5. ถาม : จุดออกส่วนมากอยู่ตรงไหน?
ตอบ : ก่อนที่ราคาจะไปถึงแนวต้านและแนวรับ หรือ อยู่ระหว่างของแนวโน้มในช่วงนั้นก็ได
ข้างต้นคือคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเจ้าเครื่องมือที่เรียกว่า “จุดเข้าและจุดออก” ยังมีรายละเอียดอีกมากมายระหว่างทางอีกเยอะที่ต้องรู้และต้องมีก่อนจะมาถึงจุดนี้ เช่น
เมื่อเข้าใจวิธีการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน(Fundamental analysis) แล้ว มาดูวิธีการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค(Technical analysis) กันว่าใช้เครื่องมืออะไรบ้าง
1. ระดับแนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance Levels)
ทั้งสองอย่างทำงานร่วมกันเพื่อบอกจุดที่ราคาจะขึ้นและลงสูงสุดต่ำสุดในแนวโน้มราคาในช่วงนั้นๆ
แนวรับ เป็นบริเวณที่รับราคาเอาไว้ไม่ให้ตก ซึ่งเป็นจุดที่บอกว่าราคาจะไม่เคลื่อนตัวลงต่ำไปมากกว่านี้ เพราะส่วนใหญ่ราคาจะหยุดในจุดที่มีความต้องการซื้อ(demand) สูง ก่อนที่ราคาจะปรับสูงขึ้น ถ้านึกไม่ออกนึกถึง “แทรมโพลีน” ที่ทำให้ราคาเด้งกลับไปสูงขึ้นได้อีกครั้ง แต่ก็ใช่ว่าบริเวรแนวรับนั้นๆจะสามารถรับราคาเอาไว้ได้ตลอดหาก ณ ตอนนั้นมีแรงขายมากกว่าแรงซื้อ
แนวต้าน เป็นบริเวณที่ต้านราคาเอาไว้ไม่ให้ขึ้น ซึ่งเป็นจุดที่บอกว่าราคาจะไม่เคลื่อนตัวสูงไปกว่านี้ ราคาจะหยุดที่จุดที่มีความต้องการขาย(supply) สูง ก่อนที่ราคาจะกลับหัวลดต่ำลง เหมือนกับ “เพดาน” ที่บอกว่า คุณไปสูงได้เพียงแค่นี้นะ แต่ถ้าหากว่า ณ ตอนนั้นมีแรงซื้อมากกว่าแรงขายก็อาจจะทำให้ราคาสามารถทะลุผ่านแนวต้านนั้นไปได้เช่นกัน
ทั้งนี้ แนวรับและแนวต้านเป็นเครื่องมือสำคัญมากๆในการเทรดรายวันหรือเทรดตามกระแสขึ้น-ลง ยิ่งถ้าคุณเป็นเทรดเดอร์ระยะสั้น(Short-term Trader) ยิ่งต้องเข้าใจเทคนิคนี้เป็นอย่างดี เพราะมันสามารถทำกำไรได้มหาศาล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเทรดเดอร์ควรจะสังเกตการเคลื่อนที่ของราคาให้ดีว่าราคา ณ ตอนนั้นเป็นอย่างไร เพราะแนวรับและแนวต้านนั้นอาจไม่แข็งแกร่งพอที่จะหยุดราคาเอาไว้ได้
2. กราฟราคา (Price Chart)
เป็นแผนภูมิแกน Y (แนวนอน) ที่บอกประวัติราคาของทรัพย์สินนั้นๆ กราฟราคาใช้เพื่อสังเกตุการณ์แนวโน้มของราคาเพื่อบอกแนวรับแนวต้านของแนวโน้มในตอนนั้น หน้าตาของกำราฟนี้ใช้สีเขียวเพื่อบอกราคาขาขึ้น และสีแดงเพื่อบอกราคาขาลง ด้วยสีที่ชัดเจนก็สามารถวาดเส้นแนวโน้ว(Trendline) ได้ชัดเจนมากขึ้น
อาจจะไม่แม่นยำ 100% เพราะไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่น ข่าวที่มีผลต่อราคาหุ้นของ Coca-Cola หรือที่เรารู้จักคือ โค้ก ดิ่งต่ำลงทันทีเมื่อ นักฟุตบอลชาวโปตุเกส Cristiano Ronaldo ขึ้นประกาศในงานฟุตบอล Euro 2020 เขาหยิบขวดโค้กสองขวดที่วางอยู่ออก และโชว์ขวดน้ำเปล่าพร้อมพูดว่า “agua” (น้ำ) และยิ้มให้นักข่าว ข่าวที่ออกไปเช่นนี้ให้ หุ้นของ Coca-Cola ถูกเทขายทันที และสูญเสียมูลค่าไปถึง 4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
3. อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค (Technical Indicator)
คือตัวบอกสัญญาณที่มีพื้นฐานจากคำนวณทางคณิตศาสตร์ด้วยราคา,ปริมาณ หรือดอกเบี้ย เป็นต้น ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีต อินดิเคเตอร์สามารถคาดเดาราคาในอนาคตได้ ทำให้จุดเข้า-จุดออกแม่นยำมากขึ้น อินดิเคเตอร์ทางเทคนิดนั้นมีอยู่หลากหลาย
แต่สามารถแบ่งการใช้งานเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ แบบซ้อนทับ(overlays) และ Oscillators และออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์การเคลื่อนที่ของราคาในระยะสั้นเป็นหลัก แต่ไม่ว่าจะเป็นเทรเดอร์ระยะสั้นหรือยาวต่างก็ใช้อินดิเคเตอร์ทางเทคนิคเพื่อบอกจุดเข้าและจุดออกอยู่เสมอ
ทั้งนี้ต้องบอกไว้ก่อนว่าไม่มีอินดิเคเตอร์ตัวไหนบอกได้ 100% แต่ถ้าสังเกตุให้ดี ยิ่งอินดิเคเตอร์หลายๆตัวบอกสัญญาณไปในทิศทางเดียวกันแสดงว่าก็ยิ่งมีโอกาสสูงมากๆ ที่จะทำกำไรสูงสุดได้จากการเทรดครั้งนั้น
อ้างอิง
https://www.investopedia.com/trading/become-a-successful-forex-trader/#finding-forex-trading-entry-and-exit-points
https://www.investopedia.com/terms/t/technicalindicator.asp
https://www.investopedia.com/trading/support-and-resistance-basics/
Author: