เข้าใจอารมณ์ของกราฟ อารมณ์ของตลาด ช่วยให้เทรดดีขึ้น จงเฝ้าดูและระวังอารมณ์ของตัวเอง เพราะว่าอารมณ์และความคิดเหล่านี้ที่มันสามารถนำหายนะมาสู่คุณได้ ยิ่งคุณตระหนักรู้ตัวเองเร็วมากเท่าไหร่ มันยิ่งช่วยให้คุณประหยัดเงินหรือสร้างผลกำไรได้มากขึ้นเท่านั้น
เข้าใจอารมณ์ของกราฟ อารมณ์ของตลาด ช่วยให้เทรดดีขึ้น
มาพูดเรื่องของคริปโตกัน Cryptocurrency เป็นเรื่องของอนาคต ณ เวลานี้โลกยังคงถกเถียงและหาคำตอบสำหรับทิศทางที่แท้จริงของ Cryptocurrency หรือเงินดิจิตอล ว่ามันจะเติบโตและเปลี่ยนแปลงไปทางไหน
นักลงทุน นักการเงิน ผู้ที่อยู่ในแวดวงการลงทุนแบบเก่าทั้งหุ้น อสังหาฯ และตลาดเทรดการเงินอย่าง Forex ต่างกำลังจับตามองการเข้ามาแทรกแซงของเงินดิจิตอล
ถึงกระนั้นก็มีเพียงส่วนน้อยของประชากรที่ลงทุน เฉพาะในเนเธอร์แลนด์เพียง 1% — 2% ของครัวเรือนที่ลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลในปีนี้(2017) และผู้คนจำนวนน้อยที่ใช้ cryptocurrencies จริง ๆ เนื่องจากมีเพียงไม่กี่แห่งที่ยอมรับวิธีการชำระเงินเหล่านี้
แต่ก็ต้องยอมรับว่า นี่คือ จุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง
นอกจากความจริงที่ว่ายังไม่มีการใช้เทคโนโลยีต่างๆ มากนัก ยังเข้าใจยากอีกด้วย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานทางเทคนิค Cryptocurrency มีความผันผวนสูง จึงมีความเสี่ยงสูง กลไกด้านราคาขึ้นลงไม่สามารถคาดเดาได้แน่นอน และไม่มีใครทราบอย่างแท้จริงว่าปัจจัยอะไรที่มีผลต่อการปรับตัวขึ้นลงของราคาเหรียญ
เราจึงจำเป็นต้องใช้ จิตวิทยาฮิวริสติก หรือ จิตวิทยาทางลัด ที่เข้าช่วยให้มนุษย์แก้ปัญหาหรือเรียนรู้แนวคิดใหม่ เป็นกระบวนการทางจิตที่มีประสิทธิภาพซึ่งช่วยให้มนุษย์แก้ปัญหาและเรียนรู้แนวคิดใหม่ๆ
กระบวนการเหล่านี้ทำให้ปัญหาซับซ้อนน้อยลงโดยการเพิกเฉยต่อข้อมูลบางอย่างที่เข้ามาในสมองทั้งโดยรู้ตัวหรือ โดยไม่รู้ตัวทุกวันนี้ฮิวริสติกส์ได้กลายเป็นแนวคิดที่มีอิทธิพลในด้านการตัดสินและการตัดสินใจ
และถ้าหากเราใช้ จิตวิทยาฮิวริสติก ในการวิเคราะห์พฤติกรรม และอารมณ์ของเราเองในการเทรด ก็จะช่วยให้การเทรดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การเข้าสู่ตลาด crypto มักจะจุดเริ่มต้นคล้ายๆกัน อาจจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือกลุ่มแวดวงสังคม ที่เขาลงทุนแล้วได้เงินจริง จึงมีแนวโน้มที่คนอย่างเราๆอยากจะลองเข้าตลาดนี้ดูบ้าง
ชายนิรนามกล่าว “ลงทุนเงินไว้ที่ใดที่หนึ่งในคริปโตแล้วรอดูให้มันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหรือสามเท่า!” พวกเขาอาจจะพูด ง่ายเหมือนบีบมะนาว แต่เมื่อใดที่คุณได้ลองเข้าสู่ตลาดคริปโตแล้ว คุณจะพบว่าทุกอย่างมันสามารถเป็นไปได้เสมอ คุณรายล้อมไปด้วยโอกาสและการเพิ่มเงินทุนให้มากขึ้น
แต่ก่อนที่คุณจะเริ่มเทรด คุณจะต้องรู้ก่อนว่าอะไรคือกับดักหลุมพรางทางอารมณ์ วิธีที่ดีที่สุดคือการเตรียมตัวทางจิตใจและพิจารณาอคติและปัจจัยทางจิตวิทยา 6 อคติดังต่อไป
1. Social Proof (การตัดสินใจโดยอ้างอิงตามสังคม)
Everyone at work is doing this : Since everyone is doing this cryto thing. I ought to look into it.ในเมื่อทุกคนเทรดคริปโตกัน ฉันต้องลองบ้างละ!! (เคลิ้มตามแวดวงสังคม)
เมื่อคุณสังเกตเห็นว่า มีผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆที่กำลังมองหาสกุลเงินดิจิทัลและลงทุนในตลาดจริงๆ แต่คุณยังต้องทำวิจัยของคุณก่อนที่จะตัดสินใจเข้าร่วม แต่ถ้าหากมีคนจำนวนมากเต็มใจที่จะเดิมพันด้วยเงินของพวกเขาอย่างมั่นใจ มันต้องเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การลองใช่ไหม?
เมื่อคนเราไม่แน่ใจว่าต้องเลือกอะไร โดยโดยสัญชาตญาณของมนุษย์แล้วมักดูว่าคนส่วนใหญ่ทำอะไรกันแล้วทำตาม
การดูสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำเพื่อเป็นแนวทางในการเลือกของคุณเองนั้นเรียกว่าการพิสูจน์ทางสังคม (Social Proof)
เนื่องจากเทคโนโลยีคริปโตมีความซับซ้อนมากและหลายคนไม่เข้าใจอย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อคุณกำลังจะนำเงินของคุณไปเป็นสกุลเงินดิจิทัล ให้พยายามมองข้ามความคิดของฝูงชน หาข้อมูลให้ได้มากที่สุดในการตัดใจก่อนที่จะลงทุน
2. Authority (การตัดสินใจโดยอ้างอิงตามผู้เชี่ยวชาญ)
Just tell me what to do : OK, he seems to know a lot about this , I’ll do whatever he does.
“ว้าว…ผู้ชายคนนนี้ทำเงินได้เยอะจัง น่าทึ่งมาก ฉันจะเอาเขาเป็นแบบอย่างและทำตามแบบแผนของเขา” ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผู้ชายคนนั้นอาจจะเก่งจริงหรือไม่จริงก็มีความเป็นไปได้ทั้งสอง
ในตอนเริ่มต้น เป็นไปได้ว่าคุณไม่มีความรู้มากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ และการที่คนเราจะหาข้อมูลความรู้เพิ่มเติม
คนส่วนมากจะมองหาคนที่ประสบความสำเร็จที่สร้างเงินในตลาดคริปโตทีล่ะมากๆ (หรือบางคนอาจจะเฟค) ดังนั้นคนที่เริ่มต้นใหม่มักจะหาบุคคลเหล่านี้มาเป็นแบบอย่างและแนวทางในการเทรด
ในสายตาของคุณ จะมองเขาเปรียบเสมือนดั่งผู้เชี่ยวชาญและมีอำนาจ ภาพลักษณ์ของเขาดูดี๊ดี และแลดูน่าเชื่อถือ เขาเหล่านั้นยังมีประวัติการทำเงินด้วย cryptocurrencies อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คือ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ไม่สามารถทำนายอนาคตที่จะเกิดขึ้นได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
3. Inaction Inertia (อาการกินแหนงแคลงใจ…แต่ก็พยายามปลง)
Never mind, it’s too late: “Nevermind, I’m too late anyway. The ship has sailed.”
“ไม่เป็นไร..ช่างมันเหอะ ฉันมาสายเกินไป เรือแล่นออกจากท่าไปแล้ว”
ลองนึกภาพได้ยินเพื่อนพูดคุยเกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาซื้อเหรียญที่ 10% ของราคาปัจจุบัน คุณอาจคิดว่ามันสายเกินไปแล้ว ความรู้สึกนี้สามารถนำไปสู่ความเฉื่อยๆ กินแหนงแคลงใจ
Inaction Inertia เป็นสภาวะหนึ่งที่ได้รับหลังจากพลาดดีล ทำให้คุณมีโอกาสน้อยมากที่จะซื้อเหรียญเดียวกันในอนาคตด้วยราคาที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
ผู้คนไม่ชอบที่จะพลาดโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงเรื่องเงิน สิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่ และอาการนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ FOMO ไม่อยากพลาดโอกาสอีกแล้ว
กินแหนงแคลงใจเสียดายที่ไม่ได้ซื้อตอนนั้น >>> เมื่อโอกาสมาถึงกลัวพลาดโอกาส FOMO (รีบเกินไปขาดการไตร่ตรอง)
4. Fear of Missing Out (FOMO) (อาการกลัวที่จะพลาดโอกาส)
Wait, it’s still rising? : It’s still rising ? I’m going to miss this opportunity. I’m in.!! “ กราฟยังจะขึ้นอยู่อีกหรือเปล่านะ? ไม่ได้การล่ะ ฉันต้องเข้าร่วมขบวนด้วย…ฉันจะไม่ยอมพลาดโอกาสดีๆแบบนี้ไปอีกแล้ว”
บางทีปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่ชัดเจนที่สุดที่ทำให้ผู้คนตื่นเต้นที่จะลงทุนนั้นเรียกว่า FOMO-effect หรือความกลัวที่จะพลาดโอกาส
คุณรู้สึกว่ามันโง่มากที่จะไม่เข้าร่วม คุณเห็นมันในโซเชียลมีเดียและคุณได้ยินที่ ที่ทำงานหรือที่ชุมนุมทางสังคม ยิ่งตระหนักว่าคุณต้องไม่พลาดโอกาสดีๆแบบนี้ หารู้ไม่ว่าหายนะกำลังมาเยือน
5. Confirmation Bias (การหาข้อมูลมายืนยืนในสิ่งที่ตนเชื่อ)
I’ll be fine : “It’s ok, it’ll bounce back this a solid investment.” “ไม่เป็นไร… เดี๋ยวราคามันจะต้องกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม”
การมองโลกในแง่บวกหรือปลอบใจตัวเองเป็นสิ่งดี แต่ถ้าขาดการไตร่ตรองที่ดีถือว่าอันตรายต่อนักลงทุนอย่าเราๆ ให้ตกอยู่ในภาวะ Confirmation Bias หรืออคติ ความลำเอียงต่อความเชื่อของตน มองเพียงด้านเดียว เพียงด้านที่ตัวเองอยากมอง เพื่อความสบายใจ
ลองนึกภาพว่าคุณได้ลงเงินทุนไปพอสมควรในช่วงของ FOMO และมีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับตัวที่คุณซื้อ ทั้งด้านบวกและด้านลบ
ในสถานการณ์นี้ คุณมักจะมองหาความคิดเห็นในเชิงบวกเพื่อยืนยัน คุณตัดสินใจถูกแล้ว เช่น การวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวาดเส้นบนแผนภูมิที่คอยตอกย้ำทฤษฎีของคุณและความคิดที่ปรารถนาของคุณ
6. Loss Aversion (อาการหลีกหนีความสูญเสีย)
Hype and the Fear, Uncertainty, Doubt (FUD) lifecycle: “Nope nope nope this was a mistake , I’m out”
“ไม่นะ ไม่นะ ไม่นะ….ฉันต้องรีบถอนออกแล้ว”
Loss Aversion คือการหลีกเลี่ยงความสูญเสีย อาการนี้ส่งผลให้เราหวงเงินต้นมาก ต้องหาวิธีปกป้องเงินต้นไม่ให้เสี่ยงต่อการเสียหายเยอะ
ใดๆก็แล้วแต่ให้เก็บคำของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ไปคิด “จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัวเท่านั้น” คนที่สามารถทำได้ มีโอกาสมากขึ้นในการทำเงินในตลาดที่มีแรงกระตุ้นจากอารมณ์ของมวลชน
หากเราสามารถประเมินสถานการณ์ได้หลายๆ ทาง ก็จะทำให้เราพอเห็นภาพรวมมากขึ้นว่ามีอะไรที่สามารถเกิดขึ้นได้บ้างและสิ่งนี้ก็น่าจะเป็นตัวช่วยให้เรารู้สึกมั่นใจกับการตัดสินใจมากขึ้น ที่สำคัญคือเราต้องฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง อย่านึกเสียดายสิ่งที่เราเสียไป เอาจิตใจไปมุ่งมั่นสร้างผลตอบแทนที่ดีกัน!
Source
Author: